บนพื้นผิวของดวงอาทิตย์มีกัมมันตภาพ (activity) ต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น จุดมืด (sunspot) การลุกจ้า (flare) เปลวสุริยะ (prominence) ซึ่งจะเกิดขึ้นมากน้อยเปลี่ยนแปลงไปเป็นคาบ ๆ ละ 11 ปี หรือจะเรียกว่าเป็นฤดูกาลบนดวงอาทิตย์ก็ได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นักดาราศาสตร์ศึกษามาเป็นเวลานานและนักดูดาวทั่วไปก็สามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เช่นกัน (โดยอาศัยอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม) ขณะนี้ดวงอาทิตย์กำลังเข้าสู่ช่วงเข้าใกล้จุดต่ำสุด ซึ่งจะมาถึงราวปี 2549 ดังนั้นช่วงเวลาอย่างน้อยหนึ่งปีต่อจากนี้จึงควรเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์เงียบสงบ
แต่นักดาราศาสตร์กลับพบว่าพฤติกรรมของดวงอาทิตย์ช่วงนี้ดูจะไม่เป็นไปตามนั้นเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมาได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่แผ่รังสีเอกซ์รุนแรง นับว่าแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคอวกาศเริ่มต้นเลยทีเดียว และภายในไม่กี่วันหลังจากนั้น ก็เกิดการระเบิดตามมาที่จุดเดียวกันอีกถึง 8 ครั้ง แต่ละครั้งรุนแรงเทียบเท่าชั้นเอกซ์ ซึ่งเป็นชั้นความแรงสูงสุดของการลุกจ้า
การลุกจ้าแต่ละครั้งหากมีทิศทางมายังโลก จะส่งผลกระทบหลายอย่าง ทำให้เกิดการรบกวนการสื่อสารวิทยุบนโลก และทำให้เกิดปรากฏการณ์สำคัญอย่างหนึ่งนั่นคือแสงเหนือใต้ ซึ่งในวันที่ 10 และ 11 ได้เกิดแสงเหนือขึ้นเป็นบริเวณกว้าง แผ่ไกลไปถึงรัฐแอริโซนาเลยทีเดียว
หากลองมองย้อนไปตั้งแต่ต้นปีก็พบว่าตั้งแต่วันปีใหม่ก็เกิดการลุกจ้าระดับเอกซ์มาครั้งหนึ่ง และนับจากนั้นก็เกิดการลุกจ้าระดับเดียวกันอีกถึง 14 ครั้ง
ลองย้อนกลับไปไกลถึงปี2543 ซึ่งเป็นช่วงสูงสุดครั้งล่าสุด ในปีนั้นมีพายุแม่เหล็กรุนแรง 3 ครั้ง และมีการลุกจ้าระดับเอกซ์ 17 ครั้ง จะเห็นว่าปี 2548 นี้ดูคล้ายกับช่วงสูงสุดมากกว่าที่จะเป็นปีก่อนช่วงต่ำสุด
นักดาราศาสตร์สุริยะกำหนดวัฏจักรสุริยะโดยถือเอาจำนวนจุดมืดเป็นสำคัญ ช่วงที่จุดมืดมีจำนวนมากที่สุดก็เรียกว่าช่วงสูงสุด ช่วงที่จุดมืดมีจำนวนน้อยที่สุดก็เรียกว่าช่วงต่ำสุด
การกำหนดเช่นนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีเพราะจุดมืดดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดกัมมันตภาพต่าง ๆ ทั้งการลุกจ้า รวมถึงการระเบิดที่รุนแรงกว่านั้นอย่างการพ่นมวลคอโรนาหรือซีเอ็มอี (CME--Coronal Mass Ejection) ซึ่งการพ่นมวลคอโรนานี้เองที่เป็นต้นเหตุของพายุแม่เหล็กธรณีบนโลก
แต่แล้วเหตุใดในขณะที่จำนวนจุดมืดลดลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แต่กัมมันตภาพกลับไม่ลดตามไปด้วย
เดวิดแฮทาเวย์ นักดาราศาสตร์จากศูนย์วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ ในฮันต์สวิลล์ แอละแบมา ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงอาทิตย์ที่ยังอธิบายสาเหตุไม่ได้กล่าวว่า เรายังรู้จักวัฏจักรกัมมันตภาพของดวงอาทิตย์น้อยมาก การสำรวจรังสีเอกซ์จากดวงอาทิตย์เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อราวปี 2518 เราจึงมีข้อมูลที่ได้จากการติดตามเฝ้ามองดวงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องมาเพียง 3 วัฏจักรเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าพฤติกรรมเช่นไรที่จะเรียกว่าปกติ และนั่นย่อมไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2548 นี้เป็นเรื่องผิดปกติ
สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะยืนยันได้ตอนนี้ก็คือดวงอาทิตย์เป็นสิ่งคาดการณ์ยากจริง ๆ นี่เป็นสิ่งที่นักวางแผนของนาซาจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษในการส่งมนุษย์ไปปฏิบัติหน้าที่บนดวงจันทร์หรือดาวอังคารในอนาคต
ในการที่จะตอบคำถามได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้เป็นความเบี่ยงเบนหรือปกติได้นั้นเห็นจะมีอยู่วิธีเดียวคือ เฝ้าดูดวงอาทิตย์ต่อไป เพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้น รู้จักดวงอาทิตย์มากขึ้น และเนื่องจากวัฏจักรของดวงอาทิตย์มีระยะเวลาถึง 11 ปี ขั้นตอนนี้จึงต้องใช้เวลาพอสมควร ใครจะไปรู้ว่าในอีก 1 ปีที่เหลือก่อนจะถึงช่วงต่ำสุดของวัฏจักร ดวงอาทิตย์แผลงฤทธิ์อะไรมาป่วนหัวนักดาราศาสตร์อีก
แผนภูมิแสดงวัฏจักรดวงอาทิตย์3 วัฏจักรล่าสุด เห็นได้ชัดว่ากัมมันตภาพยังคงเกิดขึ้นได้เกือบตลอดเวลาแม้จะอยู่ในช่วงใกล้จุดต่ำสุดก็ตาม (ภาพจาก David Hathaway, NASA/NSSTC)
แต่นักดาราศาสตร์กลับพบว่าพฤติกรรมของดวงอาทิตย์ช่วงนี้ดูจะไม่เป็นไปตามนั้น
การลุกจ้าแต่ละครั้ง
หากลองมองย้อนไปตั้งแต่ต้นปี
ลองย้อนกลับไปไกลถึงปี
นักดาราศาสตร์สุริยะ
การกำหนดเช่นนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดี
แต่แล้วเหตุใด
เดวิด
สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะยืนยันได้ตอนนี้ก็คือ
ในการที่จะตอบคำถามได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้เป็นความเบี่ยงเบนหรือปกติได้นั้น
แผนภูมิแสดงวัฏจักรดวงอาทิตย์