จดหมายถึง thaiastro |
vachara@navy.mi.thสวัสดีครับ ผมอยากสอบถามเกี่ยวกับการคำนวณตำแหน่งของดาวฤกษ์ ในการเดินเรือเราใช้แบบคำนวน HO214 ประกอบกับ Almanac ซึ่งเป็นหนังสือตารางจากกองทัพเรืออังกฤษ ไม่ทราบว่ามีวิธีอื่นหรือไม่ในการคำนวณ โดยไม่ต้องพึ่ง Almanac หรือไม่ครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ thaiastroสวัสดีครับวรเชษฐ์ บุญปลอด
From: "zero zone"
สวัสดีครับ
ขอบคุณครับ(3คำศัพท์หลัง ครับ) thaiastroวิมุติ วสะหลาย นาย ยุทธนา วิรัชพันธ์ thaiteak@success.net.thเรียนบรรณาธิการวารสารทางช้างเผือกเรื่อง สนใจสมัครเป็นสมาชิกวรสาร ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ thaiastroเรียน คุณยุทธนาวิมุติ วสะหลาย
"Supanee Maichandee"
ขอบคุณค่ะ thaiastroวรเชษฐ์ บุญปลอด ศุภพัฒน์ ปิงตา [teh@thaimail.com]ขอขอบคุณมา ณ โอกาศนี้ thaiastroเรียนคุณเต้วิษณุ
***************** บทความที่ 1 ***************** ชื่อหนังสือ ORBIT: NASA astronauts photograph the earth ผู้แต่ง Jay Apt, Michael Helfert, Justin Wilkinson ISBN 0-7922-3714-5 ราคา $40 หนังสือที่จะแนะนำคราวนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับอวกาศจากสมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติ (National Geographic Society) อีกเล่มหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันดีที่สุด นั่นคือโลกของเราเอง ผ่านสายตานักบินอวกาศแห่งองค์การนาซา ภาพถ่ายโลกจากอวกาศมีมาตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเพิ่งมีโครงการอวกาศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จอห์น เกล็น จะได้เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่โคจรรอบโลกในอวกาศ แพทย์ประจำโครงการบอกว่าการใช้กล้องถ่ายรูปจะขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของนักบินอวกาศ ดังนั้นผู้บริหารโครงการจึงตัดกล้องถ่ายรูปออกจากรายการอุปกรณ์ เกล็นเล่าว่าเขาเดินไปหาผู้บริหารโครงการ แล้วยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเขาจะไม่มีทางเล่นกล้องเพลินจนลืมทำงานของเขาอย่างแน่นอน ครั้นได้รับอนุญาตให้นำกล้องขึ้นไปได้ พวกวิศวกรก็ดัดแปลงกล้องไลก้า 35 มม. ให้เกล็นสามารถถ่ายภาพและเลื่อนฟิล์มได้ด้วยมือข้างเดียว แต่มันยังไม่ดีพอ ไม่นานก่อนวันยิงจรวด เกล็นไปตัดผมที่เมืองเล็กๆ ใกล้กับฐานปล่อยจรวด ณ แหลมคานาเวอรัล เขาพบกล้องมินอลต้า ไฮ-มาติก ราคา 45 เหรียญ ซึ่งเป็นกล้องเลื่อนฟิล์มได้โดยอัตโนมัติรุ่นแรกๆ วางขายอยู่ในร้านขายยา เขาซื้อกล้องตัวนั้นทันที และชาวโลกก็ได้เห็นภาพดาวเคราะห์ของเขาจากอวกาศเป็นครั้งแรกด้วยความอัศจรรย์ใจ นับแต่นั้นมา กล้องถ่ายรูปก็กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในโครงการอวกาศทุกโครงการของสหรัฐอเมริกา มนุษย์อวกาศที่ขึ้นไปโคจรรอบในกระสวยอวกาศมักใช้เวลาว่างมองดูและถ่ายภาพโลก ภาพส่วนใหญ่ในหนังสือ ORBIT คือผลงานจากกระสวยอวกาศ หลายภาพในหนังสือเล่มนี้เคยถูกนำไปตีพิมพ์มาก่อนแล้ว ตั้งแต่ภาพจากฟิล์ม 35 มม. ทั้งสามม้วนของจอห์น เกล็น มาจนถึงภาพภูเขาไฟเซนต์ เฮเลน 10 ปีหลังการระเบิด ที่ถ่ายจากยานดิสคัฟเวอรี เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2537 แต่สิ่งที่ทำให้ภาพใน ORBIT โดดเด่นกว่าใครอื่น คือการได้นำฟิล์มต้นฉบับจากกรุขององค์การนาซามาสแกนเป็นภาพดิจิตอล และปรับแต่งให้ได้สีสันและรายละเอียดตามที่ตาเห็นมากที่สุด ในขณะที่ภาพซึ่งตีพิมพ์กันทั่วไปนั้นใช้ฟิล์มที่ถ่ายสำเนาจากสำเนาจากสำเนาของต้นฉบับ (หรือสำเนารุ่นหลังกว่านั้น) ทำให้สีสันความคมชัดตกไปมาก ผู้แต่งหนังสือทั้งสามคนล้วนเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการอวกาศของสหรัฐฯ เจย์ แอ็ปต์ เป็นมนุษย์อวกาศมาตั้งแต่ปี 1985 ส่วนอีกสองคนเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์การนาซา ได้แก่ ไมเคิล เฮลเฟิร์ต และ จัสติน วิลกินสัน ด้วยเหตุนี้ การควบคุมคุณภาพของรูปที่ปรากฏในหนังสือ และข้อมูลประกอบภาพ จึงทำได้อย่างดีเยี่ยม ORBIT แบ่งเป็น 8 บท คือ บทนำ ทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรปและตะวันออกกลาง ทวีปเอเชีย แลงเหนือแสงใต้ มหาสมุทรแปซิฟิค ทวีปอเมริกากลางและใต้ ทวีปอเมริกาเหนือ พร้อมภาคผนวกและดัชนี แต่ละบทประกอบด้วยบทความสั้นๆ โดยเจย์ แอ็ปต์ ตามด้วยภาพถ่ายกับคำอธิบาย แต่ละหน้าจะมีแผนที่โลกขนาดเล็กเป็นภาพสังเขปของทวีปหรือมหาสมุทร ลงจุดแดงเป็นเครื่องหมายว่าภาพในหน้านั้นถ่ายมาจากตำแหน่งใดในโลก ภาพส่วนมากพิมพ์เต็มหน้าหนังสือ ความคมชัดนั้นสมกับที่ใช้ฟิล์มต้นฉบับขนาดใหญ่มาสแกน ภาคผนวกจะบอกที่มาของภาพเป็นพิกัดภูมิศาสตร์ ระดับความสูง หมายเลขประจำเที่ยวบินของแต่ละโครงการ ข้อมูลกล้อง ฟิล์มที่ใช้ และรายชื่อลูกเรือ หน้าข้อมูลอุปกรณ์ถ่ายภาพและวิธีการทำภาพในหนังสือเล่มนี้ก็อยู่ในภาคผนวกเช่นกัน ผมอ่านบทความที่เจย์ แอ็ปต์ เขียนลงในวารสาร National Geographic ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2539 เขาเอาภาพจากหนังสือ ORBIT ไปเล่าให้ฟัง ภาพประกอบบางภาพคือภาพจากภาพยนต์ IMAX ที่ฉายที่แหลมคานาเวอรัล ภาพแผ่นดินโลกบนจอยักษ์นั้นยังติดตาติดใจของผมอยู่จนบัดนี้ จึงไม่รีรอที่จะสั่งหนังสือเล่มนี้มาจากร้าน Amazon.com ทันที ตอนหลังเห็นมีขายที่ร้านเอเชียบุ๊คส์ ในกรุงเทพฯ แล้วเช่นกัน ***************** บทความที่ 2 ***************** ชื่อหนังสือ Do your ears pop in space? ผู้แต่ง R. Mike Mullane สำนักพิมพ์ John Wiley & Sons ISBN 0-471-15404-0 ณ วงโคจรรอบโลกของยานกระสวยอวกาศ ที่ความสูง 200 ไมล์จากพื้นโลก ยังมีถึง 91% ของแรงโน้มถ่วงของโลกที่ระดับน้ำทะเล แต่มนุษย์อวกาศในยานกลับอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ไมค์ มัลเลน อธิบายในบทแรกของหนังสือเล่มเล็กๆ ของเขาว่า เป็นเพราะที่วงโคจรนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ภายใต้อำนาจของแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีอะไรมาขวาง หรืออีกนัยหนึ่งคือ ทุกอย่างกำลังหล่นลงมาด้วยความเร็วเท่ากัน เพียงแต่ไม่ได้หล่นตรงๆ ลงพื้นดิน ทว่ามีแรงผลักไปในแนวขวางขนานกับพื้นผิวโลกด้วย จึงต้องวนไปรอบโลกหลายรอบกว่าจะตกถึงพื้น โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ในช่วงนี้อะไรๆ จึงดูไร้น้ำหนักไปหมด ถ้ามีบางอย่างมากั้นการหล่น เช่นพื้นโลก ของที่หล่นก็จะหยุดหล่น กลายเป็นมีน้ำหนักขึ้นมาเมื่อเทียบกับสิ่งที่ขวางกั้น หนักเท่าไรก็แล้วแต่มวลของของแต่ละชิ้น ผู้แต่งเคยเป็นมนุษย์อวกาศอาชีพอยู่ถึง 12 ปี ก่อนหน้านั้นเขาเคยขับเครื่องบินรบในสงครามเวียดนามก่อนจะสมัครเข้าเป็นมนุษย์อวกาศในปี 1978 ซึ่งเป็นรุ่นแรกสำหรับยานกระสวยอวกาศ ได้ขึ้นสู่อวกาศ 3 ครั้งในยานดิสคอฟเวอรี และแอตแลนติส ก่อนจะปลดเกษียณตัวเองในปี 1990 ออกมาเป็นนักพูดและนักเขียนอาชีพ การพูดของเขาส่วนใหญ่หมายถึงการตระเวนไปทั่วประเทศเพื่อเล่าเรื่องและตอบคำถามเกี่ยวกับอวกาศและมนุษย์อวกาศ และความที่เขาเป็นมนุษย์อวกาศคนเดียวที่ออกมาพูดเป็นอาชีพ คำถามที่มีมาถึงเขาจึงมากมายหลายหลาก ทั้งจากเด็ก จากคุณปู่คุณย่า ทั้งจากสมาคมเกี่ยวกับดาราศาสตร์ และจากพนักงานบริษัทข้ามชาติที่เชิญเขาไปพูด คำถามที่น่าสนใจได้ถูกรวบรวมไว้และได้กลายมาเป็นหนังสือซึ่งมีชื่อเต็มว่า Do your ears pop in space? and 500 other surprising questions about space travel บทแรกที่เกี่ยวกับหลักการทางฟิสิกส์ในอวกาศถือเป็นการปูพื้นความเข้าใจ ว่าด้วยสภาวะไร้น้ำหนักเกิดจากอะไร หมายถึงอะไร และกล่าวถึงวงโคจรของกระสวยอวกาศและดาวเทียมแบบต่างๆ เป็นต้น วิธีให้ความรู้เป็นแบบถามตอบ เขาจะตั้งคำถามสั้นๆ ขึ้นมาก่อน แล้วให้คำตอบเชิงอธิบายขยายความให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยทั้งเล่ม ทำให้อ่านง่าย และสนุก ตัวอย่างเช่น อะไรคือ Vomit Comet? จำไว้ว่าคุณจะไร้น้ำหนักได้ด้วยการอยู่ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงอย่างเสรีเท่านั้น และคุณทำเช่นนั้นได้ในเครื่องบินที่กำลังตก เพื่อเตรียมมนุษย์อวกาศและการทดลองในกระสวยอวกาศให้พร้อมสำหรับสภาวะไร้น้ำหนัก องค์การนาซาใช้เครื่องบินโดยสารโบอิงเก่าลำหนึ่งให้บินเหมือนรถไฟเหาะ พอขึ้นเนินสูงสุดแล้วนักบินจะหันหัวเครื่อง ดิ่งลง ทำให้พื้นใต้เท้าผู้โดยสารหล่นพรวด และพวกผู้โดยสารก็หล่นตามลงไป กลายเป็นอยู่ใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงอย่างเสรีพร้อมกันหมด พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างในเครื่องบินจะไร้น้ำหนักชั่วคราว โชคร้ายที่พอหัวเครื่องอยู่ต่ำเกินไป นักบินก็จะยุติการดำดิ่ง ทุกสิ่งในเครื่องจะตกลงสู่พื้นและติดอยู่ด้วยแรงกด 1.8g ซึ่งมากกว่าแรงกดปกติเกือบ 2 เท่า จากนั้นนักบินจะนำเครื่องขึ้นไปและดิ่งลงซ้ำอีก พอผ่านไปสัก 1 ชั่วโมง คุณจะเข้าใจซาบซึ้งถึงความหมายของชื่อเล่นของเครื่องบินลำนี้เอง (Vomit = อาเจียน Comet = ดาวหาง) ในบทหลังๆ มีคำตอบหนึ่งเสริมว่า ตอนที่ทำภาพยนต์เรื่องอะพอลโล 13 ทอม แฮงส์ ดารานำในเรื่องพร้อมกองถ่ายต้องเข้าไปถ่ายภาพยนต์ในเครื่องบิน Vomit Comet ลำนี้ถึง 17 เที่ยวบิน คิดเป็นการหล่น 596 ครั้ง เพื่อให้ได้ภาพไร้น้ำหนักที่สมจริงจำนวนมากพอ เพราะเป็นคำถามคำตอบสั้นๆ หนังสือนี้จึงเลือกอ่านตรงไหนก็ได้ แต่ผู้อ่านควรอ่านบทแรกก่อนเพราะเป็นบทที่อธิบายหลักการต่างๆ เป็นพื้นฐาน เรื่องของกิจวัตรในอวกาศ สภาพร่างกาย ฯลฯ ล้วนเป็นผลกระทบจากสภาวะไร้น้ำหนักทั้งสิ้น วงโคจร การเคลื่อนที่ และการลงจอด เข้าใจได้ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ที่ปูพื้นไว้ หมวดคำถามในบทถัดไปอีก 8 บท ได้แก่ กระบวนการเตรียมการและปฏิบัติการส่งกระสวยอวกาศ สภาพทั่วไปเมื่ออยู่ในวงโคจร ชีวิตประจำวันในอวกาศ เรื่องเกี่ยวกับสภาพร่างกายเมื่ออยู่ในอวกาศ การลงสู่พื้นดิน คำถามเกี่ยวกับยานแชลเลนเจอร์ ความรู้เกี่ยวกับการเป็นมนุษย์อวกาศ และเรื่องอนาคตของโครงการอวกาศ เรื่องที่เปิดหูเปิดตาและตลกที่สุดคือเรื่องชีวิตประจำวันและสภาพร่างกาย ผู้อ่านจะทราบว่ามนุษย์อวกาศเขากินอยู่หลับนอนกันอย่างไร เรื่องง่ายๆ เช่นการขับถ่ายกลายเป็นความวุ่นวายทุลักทุเลอย่างคาดไม่ถึง และไม่มีทางที่นาซาจะเอาเรื่องพวกนี้มาอวดให้ประชาชนชม การอาบน้ำก็ลำบาก นั่นคือไม่มีเลยตลอดเวลาสิบกว่าวันในอวกาศ ยังดีที่เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ การเมาอวกาศไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าจะอาเจียนต้องอย่าลืมว่าสิ่งที่พุ่งออกจากปากเมื่อกระทบกับถุงที่รองรับจะไม่กองอยู่ในถุง แต่จะเด้งกลับมาด้วยความแรงเท่ากับตอนขาออก และเชื่อหรือไม่ว่าเมื่อมีเวลาว่าง มนุษย์อวกาศชอบเกาะหน้าต่างดูโลกยิ่งกว่าทำอย่างอื่น ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าบทอื่นไม่น่าอ่าน ที่จริงทุกหมวดมีเรื่องน่าสนใจไปหมด เช่นเรื่องสภาพทั่วไปในวงโคจร เขาว่ามนุษย์อวกาศไม่ห่วงเรื่องขยะอวกาศพุ่งชนเท่าไร ถึงจะมีขยะที่เป็นอันตรายลอยอยู่ในอวกาศรอบโลกนับหมื่นนับแสนชิ้น เพราะอวกาศกว้างใหญ่มาก สมมุติว่า มีวัตถุที่อาจเป็นอันตรายอยู่ในวงโคจรระดับเดียวกับยาน ที่ความสูงประมาณ 200 ไมล์จากพื้นโลก จำนวน 10,000 ชิ้น โคจรไปอย่างไร้เส้นทางที่แน่นอน นั่นเท่ากับมีวัตถุอยู่ 1 ชิ้น ในทุกพื้นที่ 2 หมื่นตารางไมล์ หรือเหมือนกับมีรถยนต์ 10 คันวิ่งอยู่ในประเทศไทย โอกาสพบกันมีน้อยจนไม่ต้องห่วงมากนัก ถึงแม้ว่าเนื้อหาเกือบทั้งหมดของหนังสือจะหนักไปในเรื่องที่เกี่ยวกับยานกระสวยอวกาศ ความรู้ที่มีอยู่ใน Do your ears pop in space? ก็น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับคนชอบดวงดาวและอวกาศ ข้อมูลส่วนใหญ่สามารถให้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพในสถานีอวกาศนานาชาติ และการเดินทางสู่ดาวเคราะห์ดวงอื่นได้ด้วย ร้าน Kinokuniya ที่เอ็มโพเรียม เคยมีหนังสือเล่มนี้ขายอยู่หลายเล่ม ราคา 452 บาท แต่ตอนนี้อาจหมดไปแล้ว ***************** บทความที่ 3 ***************** ชื่อหนังสือ The Once and Future Moon ผู้แต่ง Paul D. Spudis สำนักพิมพ์ Smithsonian Institution Press ISBN 1-56098-634-4 ทำไมหนังสือเกี่ยวกับดวงจันทร์ต้องใช้ชื่อประหลาดอย่างนี้? ทำไมจะต้องมีหนังสือเกี่ยวกับดวงจันทร์ขึ้นมาอีก ทั้งๆ ที่คนเขาเขียนกันไว้มากแล้ว? ทำไมจะต้องแนะนำหนังสือเกี่ยวกับดวงจันทร์อีก? สองคำถามแรกผู้แต่งเขาตอบในคำนำ คำถามสุดท้ายผมจะตอบให้เอง เคยมีนวนิยายชุดหนึ่งเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์-องค์ที่มีดาบเอกซ์คาลิเบอร์ อัศวินโต๊ะกลม และเมอร์ลินผู้วิเศษ-ชื่อชุดว่า The Once and Future King เล่าตำนานชีวิตและวีรกรรมของพระเจ้าอาร์เธอร์ เล่มที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีคือ The Sword in the Stone ที่วอลต์ ดิสนีย์เอามาทำเป็นภาพยนตร์การ์ตูน เป็นตอนเด็กของอาร์เธอร์ ในการรบครั้งสุดท้าย พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นพระชนม์ แต่ไม่สิ้นจริง เพียงเสด็จไปอยู่บนเกาะอวาลอน รอสักวันหนึ่งในอนาคตพระองค์จะกลับมาปกครองแผ่นดินอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง พอล สปูดิส บอกว่าดวงจันทร์ก็เหมือนกัน มนุษย์เคยไปมาแล้ว อยู่ๆ ก็เลิกสนใจ หันมาโคจรรอบโลกแทน แต่รออีกไม่นานดวงจันทร์จะต้องกลับมามีบทบาทสำคัญในโครงการอวกาศของมนุษย์อีกเป็นแน่ ผู้แต่งเป็นนักธรณีวิทยาอยู่ในสถาบันศึกษาดวงจันทร์และดาวเคราะห์ เป็นที่ปรึกษาให้คณะกรรมาธิการของรัฐเกี่ยวกับอวกาศหลายคณะ ที่สำคัญ เขาเป็นรองหัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ในโครงการยานเคลเมนไทน์ซึ่งถูกส่งไปสำรวจดวงจันทร์เมื่อปี 1994 หลังจากไม่มียานจากโลกไปดวงจันทร์อีกเลยตั้งแต่โครงการอพอลโลจบลงในปี 1972 สปูดิสให้เหตุผลว่าเราได้วิเคราะห์วิจัยข้อมูลจากดวงจันทร์มามากแล้ว ทั้งยานเคลเมนไทน์ก็เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น จึงน่าจะถึงเวลาสมควรที่จะมีใครรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับดวงจันทร์เท่าที่มีอยู่และนำมาบอกเล่าให้คนทั่วไปเข้าใจ เพราะฉะนั้นจึงมีหนังสือเล่มนี้ออกมา ความเป็นนักวิชาการของผู้แต่งทำให้โครงสร้างของหนังสือมีระเบียบมาก ดูจากลำดับบท-ประวัติการศึกษาดวงจันทร์, ลักษณะภูมิประเทศ, โครงการสำรวจ, ฝุ่น, โครงสร้างภายใน, ทฤษฎีกำเนิด, การกลับไปสู่ดวงจันทร์, กลับทำไม, กลับอย่างไร, และ ทำไมเรายังไม่กลับ-เป็นการนำเสนอจากกว้างไปสู่แคบ จากข้อเท็จจริงไปสู่ทฤษฎีและความเห็น ถ้าไม่นับบทประวัติ The Once and Future Moon แบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลัก คือภาคธรณีวิทยา เรื่องเล่า และทฤษฎี ผู้แต่งถนัดเรื่องธรณีวิทยาอยู่แล้ว ภาคที่เป็นธรณีวิทยาจึงค่อนข้างละเอียด แม้จะเขียนเพื่อผู้อ่านทั่วไปก็ยังลงข้อมูลไว้มากพอสำหรับจะค้นต่อ บางทีออกจะมากไปด้วยซ้ำ เพราะอ่านไปอ่านมาเจอภาษาธรณีวิทยามากเข้าก็งงไปเหมือนกัน สปูดิสอธิบายสัณฐานภูมิประเทศของดวงจันทร์ว่าประกอบด้วย ทะเล (mare - มาเร พหูพจน์ว่า maria - มาเรีย) คือบริเวณสีเข้มของลาวาโบราณที่ไหลท่วมแอ่งอุกกาบาต ปกคลุม 16% ของพื้นผิวดวงจันทร์ทั้งหมด กับที่สูง (highland หรือ terrae - เทอร์รี เป็นคำพหูพจน์ของ terra - แผ่นดิน) ซึ่งถูกปกคลุมด้วยหลุมอุกกาบาต (crater) และลักษณะย่อยอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง การพุ่งชนของอุกกาบาตเป็นตัวกำหนดภูมิลักษณ์ต่างๆ บนดวงจันทร์ ยิ่งกว่ากระบวนการภายใต้พื้นผิวเสียอีก เพราะอุกกาบาตจึงมีหลุมอุกกาบาต มีรัศมี (rays) ของวัตถุที่กระเด็นออกมาหลังการชน มีฝุ่นดวงจันทร์ (regolith) ที่ปกคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่ง เกิดจากพื้นเดิมถูกบดป่นด้วยการชนนับล้านปี และมีหินชนิดแปลกๆ เช่นหินที่เกิดจากการละลายของพื้นเดิม (impact melts) เมื่อถูกความร้อนสูงขณะอุกกาบาตตกกระทบ ผู้ชนนั้นระเหิดหายไปหมด ส่วนที่ละลายนั้นก็กลายเป็นกาวประสานเศษหินเข้าเป็นก้อนเดียว (breccia) และบางทีพื้นเดิมก็ละลายกลายเป็นแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยผสมกับหินทั้งเก่าและใหม่ต่อไป การศึกษาข้อมูลทางธรณีวิทยาตั้งแต่ก่อนมียานอวกาศไปดวงจันทร์จนถึงสิ้นสุดโครงการอพอลโล ช่วยให้เราพอจะวาดภาพประวัติของดวงจันทร์ขึ้นมาได้ว่า ดวงจันทร์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีมาแล้ว เมื่อมีเทห์ฟากฟ้าขนาดใหญ่ลอยมาชนโลก เศษชิ้นส่วนของเปลือกโลกส่วนหนึ่งกระเด็นขึ้นไปจนหลุดออกไปนอกโลก ไปรวมกันในวงโคจรรอบโลก กลายเป็นดวงจันทร์ซึ่งตอนแรกเป็นก้อนหินหลอมเหลว มีเปลือกบางๆ หุ้มอยู่ ดวงจันทร์ถูกอุกกาบาตพุ่งชนตั้งแต่ยุคนั้น จนกระทั่งดวงจันทร์เย็นลงเป็นก้อนแข็ง อุกกาบาตก็ยังตกใส่ดวงจันทร์เรื่อยมา มีภูเขาไฟระเบิดบ้าง ปฏิกิริยาทางธรณีวิทยาจบลงเมื่อไรไม่มีใครทราบ ปัจจุบันแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นบนดวงจันทร์อีกเลย ไม่มีชั้นบรรยากาศ ไม่มีลมพัด ไม่มีภูเขาไฟระเบิด และไม่มีน้ำ มีแผ่นดินไหวเบาๆ เป็นครั้งคราว มีสนามแม่เหล็กรุนแรงในบริเวณทะเลบางแห่ง และมีแสงเรืองเหนือบางหลุมอุกกาบาตซึ่งยังไม่มีคำอธิบายที่พิสูจน์ได้ แต่ดวงจันทร์จืดๆ นี่แหละที่ช่วยให้เราเข้าใจประวัติของระบบสุริยะ และเข้าใจระบบธรณีวิทยาของดาวเคราะห์ขนาดเล็กเช่นโลก หรือดาวอังคารมากขึ้น สปูดิสออกนามบุคคลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์ไว้สามสี่คน มีบางคนที่เขารู้จักเป็นการส่วนตัว คนหนึ่งในนั้นคือ ยูจีน ชูเมคเกอร์ ผู้ร่วมค้นพบดาวหางชูเมคเกอร์-เลวี 9 ที่ชนดาวพฤหัสบดี ชูเมคเกอร์เป็นนักธรณีวิทยาผู้ผลักดันการศึกษาดวงจันทร์ในเชิงธรณีวิทยามาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1940 ด้วยความมั่นใจว่ามนุษย์จะต้องไปดวงจันทร์ภายในอีกไม่นาน ข้อมูลที่คณะทำงานของชูเมคเกอร์สร้างสมไว้คือข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการนำมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ ชูเมคเกอร์เองหวังว่าจะได้ไปสำรวจดวงจันทร์ด้วยตนเอง เขาผิดหวัง แต่ก็ได้สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่การศึกษาดวงจันทร์ อีกคนที่ถูกอ้างถึงคือ เวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์ ผู้สร้างจรวดขีปนาวุธข้ามทวีปลูกแรกของโลก V-2 ของเยอรมันนีในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเขาพัฒนาจรวดแซทเทิร์นที่ใช้ในโครงการอพอลโล ฟอน บราวน์ วางแผนการสำหรับอวกาศไว้เป็นลำดับคือ ขึ้นสู่อวกาศใกล้โลกก่อน โคจรรอบโลกให้ได้ สร้างสถานีอวกาศที่โคจรรอบโลก แล้วจึงไปดวงจันทร์ แล้วไปดาวเคราะห์อื่นต่อไป ปรากฏว่าเสียแผนเพราะอเมริกากับรัสเซียแข่งกันว่าใครจะไปถึงดวงจันทร์ก่อน โลกจึงมีกระสวยอวกาศ และสถานีอวกาศนานาชาติ หลังจากมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ตั้งนานหลายปี บทที่เล่าถึงโครงการสำรวจดวงจันทร์ ทำให้เราได้ทราบว่ากว่าจะเอาคนไปลงดวงจันทร์ได้นั้นต้องทำอะไรบ้าง จากปี 1961 ที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ประกาศว่าจะเอาคนไปดวงจันทร์ให้ได้ก่อนสิ้นทศวรรษ จนปี 1969 ที่นีล อาร์มสตรองเหยียบดวงจันทร์ มีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย มีการปล่อยจรวดเกือบทุกเดือนเพื่อทดสอบอุปกรณ์ ทดสอบขั้นตอนปฏิบัติการ และส่งยานไปสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ ทั้งโดยการโคจรรอบ ตกใส่ หรือลงจอด ข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจของยานอพอลโลทุกลำที่ไปดวงจันทร์ก็มีให้ไว้โดยสังเขป เป็นบทที่น่าสนใจมากเพราะสปูดิสเขียนอย่างคนอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ แต่บทที่เขียนอย่างคนวงในจริงๆ คือเรื่องของยานเคลเมนไทน์ที่ถูกส่งไปสำรวจดวงจันทร์เมื่อปี 1994 สปูดิสอยู่ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนการกลับไปดวงจันทร์ ทุกโครงการของพวกเขาถูกรัฐสภาฆ่าทิ้งด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ แต่เนื่องจากจะมีการทดสอบอุปกรณ์ทางทหารที่จำเป็นต้องทำในที่ไกลจากโลก เหล่านักวิจัยดวงจันทร์จึงถือโอกาสติดอุปกรณ์สำรวจดวงจันทร์ไปด้วย ยานเคลเมนไทน์ส่งข้อมูลใหม่กลับมาได้ดีอย่างคาดไม่ถึง เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้แก่การสำรวจดวงจันทร์ สปูดิสเล่าเรื่องยานเคลเมนไทน์ได้สนุกเหมือนอ่านนิยายจารกรรมเลยทีเดียว เมื่อกล่าวถึงอนาคตของการสำรวจดวงจันทร์ สปูดิสเขียนอย่างกระตือรือล้น เขาให้เหตุผลหลายข้อที่มนุษย์ควรกลับไปสำรวจและตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์ เขาเล่าถึงเทคโนโลยีที่มีอยู่หรือที่เป็นไปได้สำหรับใช้งานในสภาวะแวดล้อมนั้น ทั้งยังเสนอขั้นตอนที่ควรปฏิบัติไว้ด้วย พอถึงคำถามว่า ทำไมไม่ไปกันสักที สปูดิสตั้งข้อหาฉกรรจ์ให้กับนาซา รัฐบาลสหรัฐฯ และชาวสหรัฐฯ ไว้ 3 ข้อ คือ หนึ่ง ทำงานไม่ถูกวิธี แพงเกินไปโดยใช่เหตุ ทิ้งเทคโนโลยีที่จำเป็น (จรวดแซทเทิร์น) ไปหาเทคโนโลยีที่ใช้ไม่ได้ (กระสวยอวกาศ) สอง ไม่มีวิสัยทัศน์ คิดแต่จะทำอะไรรอบโลกเท่านั้น และสาม ไม่กล้าเสี่ยง พอยานแชลเลนเจอร์ระเบิด นาซาก็หดไปหลายปี กระแสความคิดเห็นในช่วงนั้นถึงขนาดจะให้เลิกโครงการอวกาศไปเลย แผนงานที่ออกมาเดี๋ยวนี้เลยกลัวไปหมด กลัวตาย กลัวเปลือง ทุกส่วนในสังคมลืมปณิธานของนักบุกเบิกไปสิ้นแล้ว ทางแก้บางอย่างคือ ควรลดขนาดองค์กรที่ใช้ในการส่งจรวดแต่ละครั้งจาก 5,000 คนเหลือ 50 คน พร้อมเทคโนโลยีที่จำเป็น และส่งจรวดที่ไม่ต้องทิ้ง ใช้เชื้อเพลิงแหลวแทน หรือแปรบทบาทขององค์การนาซา หันไปสนับสนุนเอกชนแทน เป็นต้น ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้เป็นสมาชิกพระจันทร์แฟนคลับเต็มตัว แม้แต่ในข้อมูลภาคผนวกก็ยังมีความเห็นสนุกๆ ของเขาแทรกอยู่ ถ้าผู้อ่านทั่วไปสามารถอ่านผ่านภาคธรณีวิทยา (หรือไม่อ่านเลย-แต่ผู้อ่านจะพลาดแก่นสำคัญของหนังสือไป) รับรองได้ว่าส่วนที่เหลือของ The Once and Future Moon จะให้ความรู้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านอย่างยิ่ง และนี่คือคำตอบว่าทำไมผมต้องแนะนำหนังสือดวงจันทร์อีกเล่มหนึ่ง และเช่นเคย หนังสือนี้มีขายที่ร้าน Kinokuniya ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ราคาเล่มละ 905 บาท ***************** จบ ***************** วิษณุ ธีนะพันธ์ ลอไพบูลย์ [theeraphan_lor@yahoo.com]รบกวนเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องของดวงอาทิตย์ ที่ส่องผ่านช่องประตูของปราสาทหินพนมรุ้งครับ อยากทราบรายละเอียดของการเกิดปรากฏการณ์นั้น และวันเวลาที่เกิดด้วยครับ ขอบพระคุณครับธีนะพันธ์ ลอไพบูลย์ thaiastroรายละเอียดเรื่องปรากฏการณ์นี้มีอยู่ในบทความ "ปราสาทพนมรุ้ง สิ่งมหรรศจรรย์หรือความบังเอิญ?" วารสารทางช้างเผือก ฉบับเมษายน-มิถุนายน 2539 เนื่องจากเก่ามาก ผมขอเวลาไปค้นสักหน่อยนะครับ แล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งtheeraphan_lor@yahoo.com kanokporn Mananansup [conan25@chaiyo.com]ดิฉันอยากจะรบกวนถามความหมายของคำว่า extrasolar, cosmic, osmoseและastrophysician เพื่อนำไปใช้ประกอบการแปลบทความค่ะkanokporn Mananansup thaiastroวิมุติ วสะหลาย |