จดหมายถึง thaiastro

vachara@navy.mi.th

สวัสดีครับ ผมอยากสอบถามเกี่ยวกับการคำนวณตำแหน่งของดาวฤกษ์ ในการเดินเรือเราใช้แบบคำนวน HO214 ประกอบกับ Almanac ซึ่งเป็นหนังสือตารางจากกองทัพเรืออังกฤษ ไม่ทราบว่ามีวิธีอื่นหรือไม่ในการคำนวณ โดยไม่ต้องพึ่ง Almanac หรือไม่ครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ
น.ท.วัชระ พัฒนรัฐ
หน.สารสนเทศยุทธการและข่าว
กองสารสนเทศ
กรมอิเล็กทรอนิกส์หหารเรือ
vachara@navy.mi.th

thaiastro

สวัสดีครับ
เท่าที่ฟังดู บอกรายละเอียดน้อยไปหน่อยครับ แต่พอจะคาดเดาได้ว่า คุณวัชระใช้แบบคำนวณ HO214 กับ Almanac ในการคำนวณหา Altitude กับ Azimuth ของดาวฤกษ์ใช่หรือเปล่าครับ ถ้าหากว่าผมเข้าใจถูก แสดงว่าคุณวัชระต้องการผลคำนวณที่ ไม่ต้องอ้างอิงตำแหน่งดาวกับ almanac
ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมแนะนำให้ใช้ซอฟต์แวร์ชื่อว่า "ICE" - Interactive Computer Ephemeris ซึ่งเป็น beta version ให้ดาวน์โหลดฟรี สร้างโดย US Naval Observatory ใช้งานได้ถึงปี ค.ศ. 2049 เป็นโปรแกรมที่ทำงานบน DOS ครับ
ส่วนโปรแกรมที่เป็นเวอร์ชันจริงเขาไว้สำหรับจำหน่าย มีชื่อว่า MICA รู้สึกว่าจะย่อมาจาก Multi-year Interactive Computer Almanac ผมดาวน์โหลดโปรแกรม ICE มาใช้หลายปีแล้วครับ จำไม่ได้ว่าเอามาจากไซต์ไหน หากว่าสนใจ ผมจะส่งไปให้ครับ ไฟล์มีขนาด 966 KB

วรเชษฐ์ บุญปลอด


From: "zero zone"

สวัสดีครับ
ขอความกรุณา ช่วยอธิบายศัพท์เหล่านี้ด้วยครับ ทางmail ก็ได้ครับ
เช่น sidereal, neutrino, event horizon, angle travelled by earth moon system, sidereal lunar month, average orbital velocity of moon

ขอบคุณครับ(3คำศัพท์หลัง ครับ)
ขอบคุณมากครับพี่
mail ฉบับแรกของผมนะครับ!

thaiastro

sidereal - เป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง ดาราคติ หรืออะไรที่อิงดวงดาวเป็นหลัก เช่น sidereal month (เดือนดาราคติ) หมายถึงระยะเวลาที่นับตั้งแต่ดวงจันทร์บังดาวฤกษ์ดวงหนึ่งจนกระทั่งกลับมาบังดวงเดิมอีกครั้งหนึ่ง คำว่า sidereal lunar month ก็มีความหมายเช่นเดียวกันกับ sidereal month
neutrino คำ ๆ นี้มีอยู่ในพจนานุกรม แต่ไม่ขอลอกมา เพราะในคำอธิบายมีอักษรกรีกอยู่ด้วย เกรงว่าจะอ่านบนเมลไม่ออก ลองไปดูที่ https://thaiastro.nectec.or.th/ency/index.html ครับ
event horizon - คำนี้แปลยากครับ ดร.พรชัย แห่งค่ายจุฬาฯ ใช้คำว่า "ขอบฟ้าเหตุการณ์" ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน -ขอบฟ้าเหตุการณ์เป็นบริเวณที่ล้อมรอบหลุมดำครับ มีขนาดเล็กใหญ่ขึ้นอยู่กับมวลของหลุมดำ หลุมดำมวลยิ่งมาก รัศมีขอบฟ้าเหตุการณ์ก็ยิ่งใหญ่ หลุมดำมีคุณสมบัติความโน้มถ่วงสูงมากอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้ว บริเวณที่อยู่ห่างจากหลุมดำมากจะมีความโน้มถ่วงต่ำและมีความเร็วหลุดพ้นน้อยกว่าความเร็วแสง แต่เมื่อยิ่งเข้าใกล้หลุมดำมากขึ้น ความโน้มถ่วงยิ่งสูงขึ้น ความเร็วหลุดพ้นก็จะมากขึ้นจนถึงระยะ ๆ หนึ่ง ความเร็วหลุดพ้นเท่ากับความเร็วแสงพอดี ระยะนี้เรียกว่ารัศมีชวาสชีลด์ หรือรัศมีของขอบฟ้าเหตุการณ์นั่นเอง ที่ระยะใกล้กว่ารัศมีนี้ (หรือภายในรัศมีชวาสชิลด์ หรือภายในขอบฟ้าเหตุการณ์ หรือภายในหลุมดำ) ความเร็วหลุดพ้นจะมากกว่าความเร็วแสง นั่นคือ แม้แต่แสงก็หลุดรอดออกมาไม่ได้ จริง ๆ แล้วตัวหลุมดำมีขนาดเป็นศูนย์ แต่โดยทั่วไปเขามักใช้รัศมีชวาสชีลด์แทนขนาดของหลุมดำไปเลย
angle travelled by earth moon system หมายถึงมุมที่ดวงอาทิตย์ที่เกิดจากการกวาดโดยการเคลื่อนที่ของระบบโลก-ดวงจันทร์ ตอนนึกภาพก็นึกว่า ระบบโลก-ดวงจันทร์นั้นคือโลกดวงเดียวก็ได้ครับ จะได้เข้าใจง่าย ๆ โลกเราเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี(ที่เกือบกลม) เมื่อตำโลกเปลี่ยนไปเนื่องจากการโคจรก็จะเกิดมุมกวาดขึ้นโดยมีจุดยอดที่ดวงอาทิตย์ เวลา 1 วัน ก็จะทำให้เกิดมุมนี้ประมาณ 1 องศา เดือนหนึ่งก็ 30 องศา ปีหนึ่งก็ครอบรอบ 360 องศาพอดี ในศัพท์ที่น้องให้มานี้เขาพูดถึงระบบ โลก-ดวงจันทร์ ความหมายก็จะแตกต่างกันนิดหน่อย แทนที่จะเป็นตำแหน่งใจกลางโลกพอดี ก็กลายเป็นจุดศูนย์ถ่วงระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ซึ่งจุดที่ว่านี้จะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางโลกไปทางดวงจันทร์เล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในเนื้อโลกครับ
average orbital velocity of moon - แปลตรง ๆ ว่า อัตราเร็วเชิงเส้นเฉลี่ยของดวงจันทร์ คำที่สงสัยคือคำว่า orbital velocity ใช่ไหมครับ orbital velocity ก็คือ ความเร็วตามแนววงโคจร เปรียบเทียบกับวงกลมก็คืออัตราเร็วตามแนวเส้นรอบวงนั่นเองครับ

วิมุติ วสะหลาย


นาย ยุทธนา วิรัชพันธ์ thaiteak@success.net.th

เรียนบรรณาธิการวารสารทางช้างเผือก
เรื่อง สนใจสมัครเป็นสมาชิกวรสาร
ผมใคร่จะสมัครเป็นสมาชิก รับวารทางช้างเผือกเป็นรายปี จะสมัครและชำระเงินได้ประการครับกรุณาให้คำแนะนำด้วยครับ อนึ่งผมมีความต้องการซื้อฉบับย้อนหลังในปี 2544 นี้พอจะจัดหาได้อยู่ใหมครับ

ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

thaiastro

เรียน คุณยุทธนา
คุณสามารถรับวารสารทางช้างเผือกได้โดยสมัครเป็นสมาชิกสมาคมดาราศาสตร์ไทย อัตราค่าสมัคร สมาชิกผู้ใหญ่ 300 บาทต่อปี เพียงส่งจดหมายแจ้งชื่อ ที่อยู่ อย่างละเอียด ประเภทของสมาชิก พร้อมธนาณัติ หรือตั๋วแลกเงิน สั่งจ่าย ปณ.สันติสุข ในนาม สมาคมดาราศาสตร์ไทย 928 ถนนสุขุมวิท คลองเตย กท. 10110 ครับ
รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ https://thaiastro.nectec.or.th/about/member.html ครับ
ส่วนการสั่งซื้อย้อนหลังนั้น เนื่องจากในช่วงสองปีที่ผ่านมาการจัดพิมพ์วารสารมีการควบคุมยอดพิมพ์ จึงเกรงว่าจะไม่เหลือ ผมจะสอบถามทางสมาคมฯ อีกทีหนึ่งแล้วจะแจ้งให้ทราบครับ

วิมุติ วสะหลาย


"Supanee Maichandee"

ตอนนี้กำลังทำโปรเจคเกี่ยวกับดาราศาสตร์เรื่องphotometry อยู่ค่ะ โดยได้ถ่ายภาพคาว แล้วนำมาวัดแมกนิจูดจากโปรแกรมimage processing program (ตอนนี้กำลังลองใช้โปรแแกรมที่ชื่อ iris) คือ อยากทราบว่า เราจะวัดแมกนิจูดโดยไม่ต้องอ้างถึงดาวมาตราฐานในcatalogue โดยใช้แมกนิจูดของดาวที่เราถ่ายมาเป็นมาตราฐานได้รึเปล่าคะ อยากทราบวิธีการค่ะ

ขอบคุณค่ะ

thaiastro

ผมไม่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยครับ เท่าที่ดูจากโปรแกรมที่บอกมา รู้สึกว่าโปรแกรมจะไม่สามารถทำอย่างที่ถามมาได้ เพราะใช้วิธีอ่านข้อมูลดาวฤกษ์จาก แค็ตตาล็อกดาวในแผ่นซีดี
หากว่าจะทำอย่างที่ต้องการ น่าจะต้องใช้ photon counter กับ CCD ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นโปรเจ็คของรุ่นพี่ที่วัดความสว่างของดาว ด้วยวิธีนี้ ถ้าหากสะดวก ลองไปค้นที่ห้องสมุดภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาฯ ดูนะครับ
หรืออีกทางหนึ่ง น่าจะลองสอบถามทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมว่าเค้าน่าจะถนัดในเรื่องนี้นะครับ

วรเชษฐ์ บุญปลอด


ศุภพัฒน์ ปิงตา [teh@thaimail.com]

สวัสดีครับผมชื่อเต้ครับ เรียนอยู่ชั้นม.3 ช่วงนี้ทำรายงานเกี่ยวกับเรื่อง การเดินทางสู่อวกาศ ผมอยากทราบวิธีไปอวกาศ ตั้งแต่เริ่มต้น ไปอย่างไร เดินทางอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร แล้วกลับยังไง ถ้าท่านเขียนมาไม่พอ แนบไฟล์มาก็ได้นะครับ กรุณาส่งก่อนวันที่30สิงหาคมนี้ ได้ไหมครับ

ขอขอบคุณมา ณ โอกาศนี้

thaiastro

เรียนคุณเต้
ผมคงไม่สามารถตอบคำถามของคุณได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเวลาที่จำกัด ทั้งของผมและของคุณ สิ่งที่ทำได้คือเอาแนบบทความที่ผมเคยเขียนแนะนำหนังสือเกี่ยวกับอวกาศมาให้ ในบทความเหล่านี้มีบางตอนที่เล่าถึงการเดินทางและการใช้ชีวิตในอวกาศ
สำหรับการเดินทางขึ้นไปในอวกาศ ต้องใช้จรวดที่สามารถเร่งความเร็วได้มากพอที่จะหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปดวงจันทร์หรือแค่โคจรรอบโลก ความเร็วนี้คือ 11.2 กม./วินาที ทิศทางในการยิงจรวดก็ แล้วแต่ว่าจะให้โคจรรอบโลกในลักษณะไหน หรือว่าจะไปดวงจันทร์หรือดาวเคราะห์อื่นก็ต้องเพิ่มแรงขับบังคับทิศทางต่อไปอีก
ข้อความจากนี้ไปเป็นบทความที่เคยลงในวารสารทางช้างเผือกของสมาคมดาราศาสตร์ไทยมาแล้ว เป็นการแนะนำหนังสือภาษาอังกฤษ 3 เล่ม ความจริงมีอีกเล่มหนึ่งคือเรื่องสถานีอวกาศเมียร์ ซึ่งเป็นภาษาไทย คุณอาจได้อ่านแล้ว มีข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์อวกาศอยู่มากพอสมควร

วิษณุ

***************** บทความที่ 1  *****************

ชื่อหนังสือ     ORBIT: NASA astronauts photograph the earth
ผู้แต่ง         Jay Apt, Michael Helfert, Justin Wilkinson
ISBN 0-7922-3714-5
ราคา            $40

        หนังสือที่จะแนะนำคราวนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับอวกาศจากสมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติ (National
Geographic Society) อีกเล่มหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันดีที่สุด
นั่นคือโลกของเราเอง ผ่านสายตานักบินอวกาศแห่งองค์การนาซา
        ภาพถ่ายโลกจากอวกาศมีมาตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเพิ่งมีโครงการอวกาศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จอห์น เกล็น
จะได้เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่โคจรรอบโลกในอวกาศ
แพทย์ประจำโครงการบอกว่าการใช้กล้องถ่ายรูปจะขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของนักบินอวกาศ
ดังนั้นผู้บริหารโครงการจึงตัดกล้องถ่ายรูปออกจากรายการอุปกรณ์
เกล็นเล่าว่าเขาเดินไปหาผู้บริหารโครงการ
แล้วยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเขาจะไม่มีทางเล่นกล้องเพลินจนลืมทำงานของเขาอย่างแน่นอน
        ครั้นได้รับอนุญาตให้นำกล้องขึ้นไปได้ พวกวิศวกรก็ดัดแปลงกล้องไลก้า 35 มม.
ให้เกล็นสามารถถ่ายภาพและเลื่อนฟิล์มได้ด้วยมือข้างเดียว แต่มันยังไม่ดีพอ ไม่นานก่อนวันยิงจรวด
เกล็นไปตัดผมที่เมืองเล็กๆ ใกล้กับฐานปล่อยจรวด ณ แหลมคานาเวอรัล เขาพบกล้องมินอลต้า ไฮ-มาติก ราคา
45 เหรียญ ซึ่งเป็นกล้องเลื่อนฟิล์มได้โดยอัตโนมัติรุ่นแรกๆ วางขายอยู่ในร้านขายยา
เขาซื้อกล้องตัวนั้นทันที
และชาวโลกก็ได้เห็นภาพดาวเคราะห์ของเขาจากอวกาศเป็นครั้งแรกด้วยความอัศจรรย์ใจ นับแต่นั้นมา
กล้องถ่ายรูปก็กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในโครงการอวกาศทุกโครงการของสหรัฐอเมริกา
        มนุษย์อวกาศที่ขึ้นไปโคจรรอบในกระสวยอวกาศมักใช้เวลาว่างมองดูและถ่ายภาพโลก ภาพส่วนใหญ่ในหนังสือ
ORBIT คือผลงานจากกระสวยอวกาศ หลายภาพในหนังสือเล่มนี้เคยถูกนำไปตีพิมพ์มาก่อนแล้ว
ตั้งแต่ภาพจากฟิล์ม 35 มม. ทั้งสามม้วนของจอห์น เกล็น มาจนถึงภาพภูเขาไฟเซนต์ เฮเลน 10
ปีหลังการระเบิด ที่ถ่ายจากยานดิสคัฟเวอรี เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2537 แต่สิ่งที่ทำให้ภาพใน ORBIT
โดดเด่นกว่าใครอื่น คือการได้นำฟิล์มต้นฉบับจากกรุขององค์การนาซามาสแกนเป็นภาพดิจิตอล
และปรับแต่งให้ได้สีสันและรายละเอียดตามที่ตาเห็นมากที่สุด
ในขณะที่ภาพซึ่งตีพิมพ์กันทั่วไปนั้นใช้ฟิล์มที่ถ่ายสำเนาจากสำเนาจากสำเนาของต้นฉบับ
(หรือสำเนารุ่นหลังกว่านั้น) ทำให้สีสันความคมชัดตกไปมาก
        ผู้แต่งหนังสือทั้งสามคนล้วนเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการอวกาศของสหรัฐฯ เจย์ แอ็ปต์
เป็นมนุษย์อวกาศมาตั้งแต่ปี 1985 ส่วนอีกสองคนเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์การนาซา ได้แก่ ไมเคิล เฮลเฟิร์ต
และ จัสติน วิลกินสัน ด้วยเหตุนี้ การควบคุมคุณภาพของรูปที่ปรากฏในหนังสือ และข้อมูลประกอบภาพ
จึงทำได้อย่างดีเยี่ยม
        ORBIT แบ่งเป็น 8 บท คือ บทนำ ทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรปและตะวันออกกลาง ทวีปเอเชีย แลงเหนือแสงใต้
มหาสมุทรแปซิฟิค ทวีปอเมริกากลางและใต้ ทวีปอเมริกาเหนือ พร้อมภาคผนวกและดัชนี
แต่ละบทประกอบด้วยบทความสั้นๆ โดยเจย์ แอ็ปต์ ตามด้วยภาพถ่ายกับคำอธิบาย
แต่ละหน้าจะมีแผนที่โลกขนาดเล็กเป็นภาพสังเขปของทวีปหรือมหาสมุทร
ลงจุดแดงเป็นเครื่องหมายว่าภาพในหน้านั้นถ่ายมาจากตำแหน่งใดในโลก ภาพส่วนมากพิมพ์เต็มหน้าหนังสือ
ความคมชัดนั้นสมกับที่ใช้ฟิล์มต้นฉบับขนาดใหญ่มาสแกน ภาคผนวกจะบอกที่มาของภาพเป็นพิกัดภูมิศาสตร์
ระดับความสูง หมายเลขประจำเที่ยวบินของแต่ละโครงการ ข้อมูลกล้อง ฟิล์มที่ใช้ และรายชื่อลูกเรือ
หน้าข้อมูลอุปกรณ์ถ่ายภาพและวิธีการทำภาพในหนังสือเล่มนี้ก็อยู่ในภาคผนวกเช่นกัน
        ผมอ่านบทความที่เจย์ แอ็ปต์ เขียนลงในวารสาร National Geographic ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2539
เขาเอาภาพจากหนังสือ ORBIT ไปเล่าให้ฟัง ภาพประกอบบางภาพคือภาพจากภาพยนต์ IMAX
ที่ฉายที่แหลมคานาเวอรัล ภาพแผ่นดินโลกบนจอยักษ์นั้นยังติดตาติดใจของผมอยู่จนบัดนี้
จึงไม่รีรอที่จะสั่งหนังสือเล่มนี้มาจากร้าน Amazon.com ทันที ตอนหลังเห็นมีขายที่ร้านเอเชียบุ๊คส์
ในกรุงเทพฯ แล้วเช่นกัน


***************** บทความที่ 2  *****************

ชื่อหนังสือ             Do your ears pop in space?
ผู้แต่ง         R. Mike Mullane
สำนักพิมพ์      John Wiley & Sons
ISBN            0-471-15404-0

ณ วงโคจรรอบโลกของยานกระสวยอวกาศ ที่ความสูง 200 ไมล์จากพื้นโลก ยังมีถึง 91%
ของแรงโน้มถ่วงของโลกที่ระดับน้ำทะเล แต่มนุษย์อวกาศในยานกลับอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักแล้ว
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ไมค์ มัลเลน อธิบายในบทแรกของหนังสือเล่มเล็กๆ ของเขาว่า เป็นเพราะที่วงโคจรนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ภายใต้อำนาจของแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีอะไรมาขวาง
หรืออีกนัยหนึ่งคือ ทุกอย่างกำลังหล่นลงมาด้วยความเร็วเท่ากัน เพียงแต่ไม่ได้หล่นตรงๆ ลงพื้นดิน
ทว่ามีแรงผลักไปในแนวขวางขนานกับพื้นผิวโลกด้วย จึงต้องวนไปรอบโลกหลายรอบกว่าจะตกถึงพื้น
โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ในช่วงนี้อะไรๆ จึงดูไร้น้ำหนักไปหมด ถ้ามีบางอย่างมากั้นการหล่น
เช่นพื้นโลก ของที่หล่นก็จะหยุดหล่น กลายเป็นมีน้ำหนักขึ้นมาเมื่อเทียบกับสิ่งที่ขวางกั้น
หนักเท่าไรก็แล้วแต่มวลของของแต่ละชิ้น

ผู้แต่งเคยเป็นมนุษย์อวกาศอาชีพอยู่ถึง 12 ปี
ก่อนหน้านั้นเขาเคยขับเครื่องบินรบในสงครามเวียดนามก่อนจะสมัครเข้าเป็นมนุษย์อวกาศในปี 1978
ซึ่งเป็นรุ่นแรกสำหรับยานกระสวยอวกาศ ได้ขึ้นสู่อวกาศ 3 ครั้งในยานดิสคอฟเวอรี และแอตแลนติส
ก่อนจะปลดเกษียณตัวเองในปี 1990 ออกมาเป็นนักพูดและนักเขียนอาชีพ
การพูดของเขาส่วนใหญ่หมายถึงการตระเวนไปทั่วประเทศเพื่อเล่าเรื่องและตอบคำถามเกี่ยวกับอวกาศและมนุษย์อวกาศ
และความที่เขาเป็นมนุษย์อวกาศคนเดียวที่ออกมาพูดเป็นอาชีพ คำถามที่มีมาถึงเขาจึงมากมายหลายหลาก
ทั้งจากเด็ก จากคุณปู่คุณย่า ทั้งจากสมาคมเกี่ยวกับดาราศาสตร์
และจากพนักงานบริษัทข้ามชาติที่เชิญเขาไปพูด
คำถามที่น่าสนใจได้ถูกรวบรวมไว้และได้กลายมาเป็นหนังสือซึ่งมีชื่อเต็มว่า Do your ears pop in
space? and 500 other surprising questions about space travel

บทแรกที่เกี่ยวกับหลักการทางฟิสิกส์ในอวกาศถือเป็นการปูพื้นความเข้าใจ
ว่าด้วยสภาวะไร้น้ำหนักเกิดจากอะไร หมายถึงอะไร และกล่าวถึงวงโคจรของกระสวยอวกาศและดาวเทียมแบบต่างๆ
เป็นต้น วิธีให้ความรู้เป็นแบบถามตอบ เขาจะตั้งคำถามสั้นๆ ขึ้นมาก่อน
แล้วให้คำตอบเชิงอธิบายขยายความให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยทั้งเล่ม
ทำให้อ่านง่าย และสนุก ตัวอย่างเช่น

อะไรคือ Vomit Comet?

จำไว้ว่าคุณจะไร้น้ำหนักได้ด้วยการอยู่ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงอย่างเสรีเท่านั้น
และคุณทำเช่นนั้นได้ในเครื่องบินที่กำลังตก
เพื่อเตรียมมนุษย์อวกาศและการทดลองในกระสวยอวกาศให้พร้อมสำหรับสภาวะไร้น้ำหนัก
องค์การนาซาใช้เครื่องบินโดยสารโบอิงเก่าลำหนึ่งให้บินเหมือนรถไฟเหาะ
พอขึ้นเนินสูงสุดแล้วนักบินจะหันหัวเครื่อง ดิ่งลง ทำให้พื้นใต้เท้าผู้โดยสารหล่นพรวด
และพวกผู้โดยสารก็หล่นตามลงไป กลายเป็นอยู่ใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงอย่างเสรีพร้อมกันหมด
พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างในเครื่องบินจะไร้น้ำหนักชั่วคราว
โชคร้ายที่พอหัวเครื่องอยู่ต่ำเกินไป นักบินก็จะยุติการดำดิ่ง
ทุกสิ่งในเครื่องจะตกลงสู่พื้นและติดอยู่ด้วยแรงกด 1.8g ซึ่งมากกว่าแรงกดปกติเกือบ 2 เท่า
จากนั้นนักบินจะนำเครื่องขึ้นไปและดิ่งลงซ้ำอีก พอผ่านไปสัก 1 ชั่วโมง
คุณจะเข้าใจซาบซึ้งถึงความหมายของชื่อเล่นของเครื่องบินลำนี้เอง (Vomit = อาเจียน Comet = ดาวหาง)

ในบทหลังๆ มีคำตอบหนึ่งเสริมว่า ตอนที่ทำภาพยนต์เรื่องอะพอลโล 13 ทอม แฮงส์
ดารานำในเรื่องพร้อมกองถ่ายต้องเข้าไปถ่ายภาพยนต์ในเครื่องบิน Vomit Comet ลำนี้ถึง 17 เที่ยวบิน
คิดเป็นการหล่น 596 ครั้ง เพื่อให้ได้ภาพไร้น้ำหนักที่สมจริงจำนวนมากพอ

เพราะเป็นคำถามคำตอบสั้นๆ หนังสือนี้จึงเลือกอ่านตรงไหนก็ได้
แต่ผู้อ่านควรอ่านบทแรกก่อนเพราะเป็นบทที่อธิบายหลักการต่างๆ เป็นพื้นฐาน เรื่องของกิจวัตรในอวกาศ
สภาพร่างกาย ฯลฯ ล้วนเป็นผลกระทบจากสภาวะไร้น้ำหนักทั้งสิ้น วงโคจร การเคลื่อนที่ และการลงจอด
เข้าใจได้ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ที่ปูพื้นไว้

หมวดคำถามในบทถัดไปอีก 8 บท ได้แก่ กระบวนการเตรียมการและปฏิบัติการส่งกระสวยอวกาศ
สภาพทั่วไปเมื่ออยู่ในวงโคจร ชีวิตประจำวันในอวกาศ เรื่องเกี่ยวกับสภาพร่างกายเมื่ออยู่ในอวกาศ
การลงสู่พื้นดิน คำถามเกี่ยวกับยานแชลเลนเจอร์ ความรู้เกี่ยวกับการเป็นมนุษย์อวกาศ
และเรื่องอนาคตของโครงการอวกาศ

เรื่องที่เปิดหูเปิดตาและตลกที่สุดคือเรื่องชีวิตประจำวันและสภาพร่างกาย
ผู้อ่านจะทราบว่ามนุษย์อวกาศเขากินอยู่หลับนอนกันอย่างไร เรื่องง่ายๆ
เช่นการขับถ่ายกลายเป็นความวุ่นวายทุลักทุเลอย่างคาดไม่ถึง
และไม่มีทางที่นาซาจะเอาเรื่องพวกนี้มาอวดให้ประชาชนชม การอาบน้ำก็ลำบาก
นั่นคือไม่มีเลยตลอดเวลาสิบกว่าวันในอวกาศ ยังดีที่เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าได้
การเมาอวกาศไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ถ้าจะอาเจียนต้องอย่าลืมว่าสิ่งที่พุ่งออกจากปากเมื่อกระทบกับถุงที่รองรับจะไม่กองอยู่ในถุง
แต่จะเด้งกลับมาด้วยความแรงเท่ากับตอนขาออก และเชื่อหรือไม่ว่าเมื่อมีเวลาว่าง
มนุษย์อวกาศชอบเกาะหน้าต่างดูโลกยิ่งกว่าทำอย่างอื่น

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าบทอื่นไม่น่าอ่าน ที่จริงทุกหมวดมีเรื่องน่าสนใจไปหมด
เช่นเรื่องสภาพทั่วไปในวงโคจร เขาว่ามนุษย์อวกาศไม่ห่วงเรื่องขยะอวกาศพุ่งชนเท่าไร
ถึงจะมีขยะที่เป็นอันตรายลอยอยู่ในอวกาศรอบโลกนับหมื่นนับแสนชิ้น เพราะอวกาศกว้างใหญ่มาก สมมุติว่า
มีวัตถุที่อาจเป็นอันตรายอยู่ในวงโคจรระดับเดียวกับยาน ที่ความสูงประมาณ 200 ไมล์จากพื้นโลก จำนวน
10,000 ชิ้น โคจรไปอย่างไร้เส้นทางที่แน่นอน นั่นเท่ากับมีวัตถุอยู่ 1 ชิ้น ในทุกพื้นที่ 2
หมื่นตารางไมล์ หรือเหมือนกับมีรถยนต์ 10 คันวิ่งอยู่ในประเทศไทย
โอกาสพบกันมีน้อยจนไม่ต้องห่วงมากนัก

ถึงแม้ว่าเนื้อหาเกือบทั้งหมดของหนังสือจะหนักไปในเรื่องที่เกี่ยวกับยานกระสวยอวกาศ
ความรู้ที่มีอยู่ใน Do your ears pop in space? ก็น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับคนชอบดวงดาวและอวกาศ
ข้อมูลส่วนใหญ่สามารถให้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพในสถานีอวกาศนานาชาติ
และการเดินทางสู่ดาวเคราะห์ดวงอื่นได้ด้วย

ร้าน Kinokuniya ที่เอ็มโพเรียม เคยมีหนังสือเล่มนี้ขายอยู่หลายเล่ม ราคา 452 บาท
แต่ตอนนี้อาจหมดไปแล้ว


***************** บทความที่ 3  *****************

ชื่อหนังสือ     The Once and Future Moon
ผู้แต่ง         Paul D. Spudis
สำนักพิมพ์      Smithsonian Institution Press
ISBN            1-56098-634-4

ทำไมหนังสือเกี่ยวกับดวงจันทร์ต้องใช้ชื่อประหลาดอย่างนี้?
ทำไมจะต้องมีหนังสือเกี่ยวกับดวงจันทร์ขึ้นมาอีก ทั้งๆ ที่คนเขาเขียนกันไว้มากแล้ว?
ทำไมจะต้องแนะนำหนังสือเกี่ยวกับดวงจันทร์อีก? สองคำถามแรกผู้แต่งเขาตอบในคำนำ
คำถามสุดท้ายผมจะตอบให้เอง

เคยมีนวนิยายชุดหนึ่งเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์-องค์ที่มีดาบเอกซ์คาลิเบอร์ อัศวินโต๊ะกลม
และเมอร์ลินผู้วิเศษ-ชื่อชุดว่า The Once and Future King
เล่าตำนานชีวิตและวีรกรรมของพระเจ้าอาร์เธอร์ เล่มที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีคือ The Sword in the
Stone ที่วอลต์ ดิสนีย์เอามาทำเป็นภาพยนตร์การ์ตูน เป็นตอนเด็กของอาร์เธอร์ ในการรบครั้งสุดท้าย
พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นพระชนม์ แต่ไม่สิ้นจริง เพียงเสด็จไปอยู่บนเกาะอวาลอน
รอสักวันหนึ่งในอนาคตพระองค์จะกลับมาปกครองแผ่นดินอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง พอล สปูดิส
บอกว่าดวงจันทร์ก็เหมือนกัน มนุษย์เคยไปมาแล้ว อยู่ๆ ก็เลิกสนใจ หันมาโคจรรอบโลกแทน
แต่รออีกไม่นานดวงจันทร์จะต้องกลับมามีบทบาทสำคัญในโครงการอวกาศของมนุษย์อีกเป็นแน่

ผู้แต่งเป็นนักธรณีวิทยาอยู่ในสถาบันศึกษาดวงจันทร์และดาวเคราะห์
เป็นที่ปรึกษาให้คณะกรรมาธิการของรัฐเกี่ยวกับอวกาศหลายคณะ ที่สำคัญ
เขาเป็นรองหัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ในโครงการยานเคลเมนไทน์ซึ่งถูกส่งไปสำรวจดวงจันทร์เมื่อปี 1994
หลังจากไม่มียานจากโลกไปดวงจันทร์อีกเลยตั้งแต่โครงการอพอลโลจบลงในปี 1972
สปูดิสให้เหตุผลว่าเราได้วิเคราะห์วิจัยข้อมูลจากดวงจันทร์มามากแล้ว
ทั้งยานเคลเมนไทน์ก็เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น
จึงน่าจะถึงเวลาสมควรที่จะมีใครรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับดวงจันทร์เท่าที่มีอยู่และนำมาบอกเล่าให้คนทั่วไปเข้าใจ
เพราะฉะนั้นจึงมีหนังสือเล่มนี้ออกมา

ความเป็นนักวิชาการของผู้แต่งทำให้โครงสร้างของหนังสือมีระเบียบมาก
ดูจากลำดับบท-ประวัติการศึกษาดวงจันทร์, ลักษณะภูมิประเทศ, โครงการสำรวจ, ฝุ่น, โครงสร้างภายใน,
ทฤษฎีกำเนิด, การกลับไปสู่ดวงจันทร์, กลับทำไม, กลับอย่างไร, และ
ทำไมเรายังไม่กลับ-เป็นการนำเสนอจากกว้างไปสู่แคบ จากข้อเท็จจริงไปสู่ทฤษฎีและความเห็น

ถ้าไม่นับบทประวัติ The Once and Future Moon แบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลัก คือภาคธรณีวิทยา เรื่องเล่า
และทฤษฎี

ผู้แต่งถนัดเรื่องธรณีวิทยาอยู่แล้ว ภาคที่เป็นธรณีวิทยาจึงค่อนข้างละเอียด
แม้จะเขียนเพื่อผู้อ่านทั่วไปก็ยังลงข้อมูลไว้มากพอสำหรับจะค้นต่อ บางทีออกจะมากไปด้วยซ้ำ
เพราะอ่านไปอ่านมาเจอภาษาธรณีวิทยามากเข้าก็งงไปเหมือนกัน
สปูดิสอธิบายสัณฐานภูมิประเทศของดวงจันทร์ว่าประกอบด้วย ทะเล (mare - มาเร พหูพจน์ว่า maria -
มาเรีย) คือบริเวณสีเข้มของลาวาโบราณที่ไหลท่วมแอ่งอุกกาบาต ปกคลุม 16% ของพื้นผิวดวงจันทร์ทั้งหมด
กับที่สูง (highland หรือ terrae - เทอร์รี เป็นคำพหูพจน์ของ terra - แผ่นดิน)
ซึ่งถูกปกคลุมด้วยหลุมอุกกาบาต (crater) และลักษณะย่อยอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง

การพุ่งชนของอุกกาบาตเป็นตัวกำหนดภูมิลักษณ์ต่างๆ บนดวงจันทร์
ยิ่งกว่ากระบวนการภายใต้พื้นผิวเสียอีก เพราะอุกกาบาตจึงมีหลุมอุกกาบาต มีรัศมี (rays)
ของวัตถุที่กระเด็นออกมาหลังการชน มีฝุ่นดวงจันทร์ (regolith) ที่ปกคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เกิดจากพื้นเดิมถูกบดป่นด้วยการชนนับล้านปี และมีหินชนิดแปลกๆ เช่นหินที่เกิดจากการละลายของพื้นเดิม
(impact melts) เมื่อถูกความร้อนสูงขณะอุกกาบาตตกกระทบ ผู้ชนนั้นระเหิดหายไปหมด
ส่วนที่ละลายนั้นก็กลายเป็นกาวประสานเศษหินเข้าเป็นก้อนเดียว (breccia)
และบางทีพื้นเดิมก็ละลายกลายเป็นแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยผสมกับหินทั้งเก่าและใหม่ต่อไป

การศึกษาข้อมูลทางธรณีวิทยาตั้งแต่ก่อนมียานอวกาศไปดวงจันทร์จนถึงสิ้นสุดโครงการอพอลโล 
ช่วยให้เราพอจะวาดภาพประวัติของดวงจันทร์ขึ้นมาได้ว่า
ดวงจันทร์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีมาแล้ว เมื่อมีเทห์ฟากฟ้าขนาดใหญ่ลอยมาชนโลก
เศษชิ้นส่วนของเปลือกโลกส่วนหนึ่งกระเด็นขึ้นไปจนหลุดออกไปนอกโลก ไปรวมกันในวงโคจรรอบโลก
กลายเป็นดวงจันทร์ซึ่งตอนแรกเป็นก้อนหินหลอมเหลว มีเปลือกบางๆ หุ้มอยู่
ดวงจันทร์ถูกอุกกาบาตพุ่งชนตั้งแต่ยุคนั้น จนกระทั่งดวงจันทร์เย็นลงเป็นก้อนแข็ง
อุกกาบาตก็ยังตกใส่ดวงจันทร์เรื่อยมา มีภูเขาไฟระเบิดบ้าง
ปฏิกิริยาทางธรณีวิทยาจบลงเมื่อไรไม่มีใครทราบ ปัจจุบันแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นบนดวงจันทร์อีกเลย

ไม่มีชั้นบรรยากาศ ไม่มีลมพัด ไม่มีภูเขาไฟระเบิด และไม่มีน้ำ มีแผ่นดินไหวเบาๆ เป็นครั้งคราว
มีสนามแม่เหล็กรุนแรงในบริเวณทะเลบางแห่ง
และมีแสงเรืองเหนือบางหลุมอุกกาบาตซึ่งยังไม่มีคำอธิบายที่พิสูจน์ได้ แต่ดวงจันทร์จืดๆ
นี่แหละที่ช่วยให้เราเข้าใจประวัติของระบบสุริยะ
และเข้าใจระบบธรณีวิทยาของดาวเคราะห์ขนาดเล็กเช่นโลก หรือดาวอังคารมากขึ้น

สปูดิสออกนามบุคคลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์ไว้สามสี่คน มีบางคนที่เขารู้จักเป็นการส่วนตัว
คนหนึ่งในนั้นคือ ยูจีน ชูเมคเกอร์ ผู้ร่วมค้นพบดาวหางชูเมคเกอร์-เลวี 9 ที่ชนดาวพฤหัสบดี
ชูเมคเกอร์เป็นนักธรณีวิทยาผู้ผลักดันการศึกษาดวงจันทร์ในเชิงธรณีวิทยามาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1940
ด้วยความมั่นใจว่ามนุษย์จะต้องไปดวงจันทร์ภายในอีกไม่นาน
ข้อมูลที่คณะทำงานของชูเมคเกอร์สร้างสมไว้คือข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการนำมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์
ชูเมคเกอร์เองหวังว่าจะได้ไปสำรวจดวงจันทร์ด้วยตนเอง เขาผิดหวัง
แต่ก็ได้สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่การศึกษาดวงจันทร์

อีกคนที่ถูกอ้างถึงคือ เวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์ ผู้สร้างจรวดขีปนาวุธข้ามทวีปลูกแรกของโลก V-2
ของเยอรมันนีในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2  ต่อมาเขาพัฒนาจรวดแซทเทิร์นที่ใช้ในโครงการอพอลโล ฟอน
บราวน์ วางแผนการสำหรับอวกาศไว้เป็นลำดับคือ ขึ้นสู่อวกาศใกล้โลกก่อน โคจรรอบโลกให้ได้
สร้างสถานีอวกาศที่โคจรรอบโลก แล้วจึงไปดวงจันทร์ แล้วไปดาวเคราะห์อื่นต่อไป
ปรากฏว่าเสียแผนเพราะอเมริกากับรัสเซียแข่งกันว่าใครจะไปถึงดวงจันทร์ก่อน โลกจึงมีกระสวยอวกาศ
และสถานีอวกาศนานาชาติ หลังจากมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ตั้งนานหลายปี

บทที่เล่าถึงโครงการสำรวจดวงจันทร์
ทำให้เราได้ทราบว่ากว่าจะเอาคนไปลงดวงจันทร์ได้นั้นต้องทำอะไรบ้าง จากปี 1961
ที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ประกาศว่าจะเอาคนไปดวงจันทร์ให้ได้ก่อนสิ้นทศวรรษ จนปี 1969 ที่นีล
อาร์มสตรองเหยียบดวงจันทร์ มีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
มีการปล่อยจรวดเกือบทุกเดือนเพื่อทดสอบอุปกรณ์ ทดสอบขั้นตอนปฏิบัติการ
และส่งยานไปสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ ทั้งโดยการโคจรรอบ ตกใส่ หรือลงจอด
ข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจของยานอพอลโลทุกลำที่ไปดวงจันทร์ก็มีให้ไว้โดยสังเขป
เป็นบทที่น่าสนใจมากเพราะสปูดิสเขียนอย่างคนอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์

แต่บทที่เขียนอย่างคนวงในจริงๆ คือเรื่องของยานเคลเมนไทน์ที่ถูกส่งไปสำรวจดวงจันทร์เมื่อปี 1994
สปูดิสอยู่ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนการกลับไปดวงจันทร์
ทุกโครงการของพวกเขาถูกรัฐสภาฆ่าทิ้งด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ
แต่เนื่องจากจะมีการทดสอบอุปกรณ์ทางทหารที่จำเป็นต้องทำในที่ไกลจากโลก
เหล่านักวิจัยดวงจันทร์จึงถือโอกาสติดอุปกรณ์สำรวจดวงจันทร์ไปด้วย
ยานเคลเมนไทน์ส่งข้อมูลใหม่กลับมาได้ดีอย่างคาดไม่ถึง เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้แก่การสำรวจดวงจันทร์
สปูดิสเล่าเรื่องยานเคลเมนไทน์ได้สนุกเหมือนอ่านนิยายจารกรรมเลยทีเดียว

เมื่อกล่าวถึงอนาคตของการสำรวจดวงจันทร์ สปูดิสเขียนอย่างกระตือรือล้น
เขาให้เหตุผลหลายข้อที่มนุษย์ควรกลับไปสำรวจและตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์
เขาเล่าถึงเทคโนโลยีที่มีอยู่หรือที่เป็นไปได้สำหรับใช้งานในสภาวะแวดล้อมนั้น
ทั้งยังเสนอขั้นตอนที่ควรปฏิบัติไว้ด้วย

พอถึงคำถามว่า ทำไมไม่ไปกันสักที สปูดิสตั้งข้อหาฉกรรจ์ให้กับนาซา รัฐบาลสหรัฐฯ และชาวสหรัฐฯ ไว้ 3
ข้อ คือ หนึ่ง ทำงานไม่ถูกวิธี แพงเกินไปโดยใช่เหตุ ทิ้งเทคโนโลยีที่จำเป็น (จรวดแซทเทิร์น)
ไปหาเทคโนโลยีที่ใช้ไม่ได้ (กระสวยอวกาศ) สอง ไม่มีวิสัยทัศน์  คิดแต่จะทำอะไรรอบโลกเท่านั้น และสาม
ไม่กล้าเสี่ยง พอยานแชลเลนเจอร์ระเบิด นาซาก็หดไปหลายปี
กระแสความคิดเห็นในช่วงนั้นถึงขนาดจะให้เลิกโครงการอวกาศไปเลย แผนงานที่ออกมาเดี๋ยวนี้เลยกลัวไปหมด
กลัวตาย กลัวเปลือง ทุกส่วนในสังคมลืมปณิธานของนักบุกเบิกไปสิ้นแล้ว

ทางแก้บางอย่างคือ ควรลดขนาดองค์กรที่ใช้ในการส่งจรวดแต่ละครั้งจาก 5,000 คนเหลือ 50 คน
พร้อมเทคโนโลยีที่จำเป็น และส่งจรวดที่ไม่ต้องทิ้ง ใช้เชื้อเพลิงแหลวแทน หรือแปรบทบาทขององค์การนาซา
หันไปสนับสนุนเอกชนแทน เป็นต้น

ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้เป็นสมาชิกพระจันทร์แฟนคลับเต็มตัว แม้แต่ในข้อมูลภาคผนวกก็ยังมีความเห็นสนุกๆ
ของเขาแทรกอยู่ ถ้าผู้อ่านทั่วไปสามารถอ่านผ่านภาคธรณีวิทยา
(หรือไม่อ่านเลย-แต่ผู้อ่านจะพลาดแก่นสำคัญของหนังสือไป) รับรองได้ว่าส่วนที่เหลือของ The Once and
Future Moon จะให้ความรู้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านอย่างยิ่ง
และนี่คือคำตอบว่าทำไมผมต้องแนะนำหนังสือดวงจันทร์อีกเล่มหนึ่ง และเช่นเคย หนังสือนี้มีขายที่ร้าน
Kinokuniya ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ราคาเล่มละ 905 บาท

*****************  จบ  *****************

วิษณุ


ธีนะพันธ์ ลอไพบูลย์ [theeraphan_lor@yahoo.com]

รบกวนเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องของดวงอาทิตย์ ที่ส่องผ่านช่องประตูของปราสาทหินพนมรุ้งครับ อยากทราบรายละเอียดของการเกิดปรากฏการณ์นั้น และวันเวลาที่เกิดด้วยครับ ขอบพระคุณครับ

ธีนะพันธ์ ลอไพบูลย์

thaiastro

รายละเอียดเรื่องปรากฏการณ์นี้มีอยู่ในบทความ "ปราสาทพนมรุ้ง สิ่งมหรรศจรรย์หรือความบังเอิญ?" วารสารทางช้างเผือก ฉบับเมษายน-มิถุนายน 2539 เนื่องจากเก่ามาก ผมขอเวลาไปค้นสักหน่อยนะครับ แล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง

theeraphan_lor@yahoo.com


kanokporn Mananansup [conan25@chaiyo.com]

ดิฉันอยากจะรบกวนถามความหมายของคำว่า extrasolar, cosmic, osmoseและastrophysician เพื่อนำไปใช้ประกอบการแปลบทความค่ะ

kanokporn Mananansup

thaiastro

extrasolar - เป็นคำอุปสรรค หมายถึง อยู่นอกระบบสุริยะของเรา เช่น คำว่า extrasolar planet ก็คือดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่น ไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ จึงเป็นสมาชิกของระบบสุริยะอื่น ไม่ได้อยู่ในระบบสุริยะของเรา
cosmic หมายถึง อวกาศ ความหมายเกือบเหมือนคำว่า space ครับ เช่น cosmic ray - รังสีที่แผ่ออกมาจากนอกโลก
osmose ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับดาราศาสตร์สักเท่าใดนัก ผมต้องไปเปิดพจนานุกรมเคมีดู พบว่าเป็นคำกริยา หมายถึงแพร่กระจายของของเหลวแบบออสโมซีส
astrophysician คงไม่มีกระมังครับ (ถ้ามีก็คงแปลว่า "หมออวกาศ") น่าจะเป็น astrophysicist มากกว่า ซึ่งแปลว่า นักดาราฟิสิกส์ หมายถึง ผู้ทึ่ศึกษาฟิสิกส์ที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์นั่นเองครับ

วิมุติ วสะหลาย