ทีมนักดาราศาสตร์นำโดย เจย์ นอร์ริส จากศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ดของนาซา ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการวัดระยะทางของแสงวาบรังสีแกมมา (Gamma-Ray Burst) โดยใช้วิธีการวัดระยะเวลาระหว่างช่วงที่ตรวจจับรังสีในย่านพลังงานต่างกัน
นักดาราศาสตร์กลุ่มนี้ได้พบว่าการเกิดแสงวาบรังสีแกมมาแต่ละครั้ง รังสีแกมมาที่มีพลังงานสูงกว่าจะมาถึงก่อนรังสีแกมมาที่มีพลังงานต่ำกว่า และพบว่ายิ่งแสงวาบนั้นมีความสว่างมากขึ้นเท่าใด ช่วงเวลาระหว่างการมาถึงของรังสีเหล่านั้นก็ยิ่งสั้นลงด้วย
จากการวัดระยะเวลาระหว่างที่ตรวจพบรังสีนี้ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณหาความสว่างสัมบูรณ์ (absolute brightness) ของแสงวาบนั้นได้ และเมื่อเปรียบเทียบความสว่างสัมบูรณ์กับความสว่างปรากฏที่ได้จากการสังเกตการณ์ ก็สามารถคำนวณหาระยะห่างของต้นกำเนิดแสงวาบรังสีแกมมานั้นได้ วิธีการนี้คล้ายคลึงกับวิธีการวัดระยะห่างของดวงดาวและดาราจักรโดยใช้ดาวแปรแสงชนิดซีฟิอิด (Cepheid Variables)
วิธีการวัดระยะทางแบบใหม่นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับนักดาราศาสตร์มาก เพราะก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีวิธีการหรือเครื่องมือใด ๆ ช่วยในการวัดระยะทางของแสงวาบได้เลย จากจำนวนแสงวาบกว่า 1,000 ครั้งที่เคยตรวจพบในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา มีเพียงไม่ถึงสิบครั้งที่มีแสงตกค้างหรืออยู่ในดาราจักรอื่นที่พอจะวัดระยะห่างจากการวัดการเลื่อนไปทางแดงได้
จากการวัดระยะทางด้วยวิธีวัดค่าการเลื่อนไปทางแดงพบว่าแสงวาบรังสีแกมมาเกิดขึ้นที่ระยะไกลอย่างยิ่งยวด บางครั้งพบว่าอยู่ไกลกว่าซูเปอร์โนวาหรือเควซาร์ที่ไกลที่สุดเสียอีก แสงวาบหนึ่งที่ค้นพบในเดือนมกราคม 2542 พบว่าอยู่ห่างจากโลกออกไปถึงหนึ่งหมื่นล้านปีแสง
ระยะทางที่ไกลมากของแสงวาบรังสีแกมมาย่อมหมายถึงอายุที่เก่าแก่มากของมันเช่นกันดังนั้นการศึกษาแสงวาบรังสีแกมมาจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเอกภพในยุคเริ่มต้น
อย่างไรก็ตามเทคนิคใหม่นี้ ยังไม่สามารถอธิบายต้นกำเนิดของแสงวาบรังสีแกมมาได้ จนถึงขณะนี้ ได้มีผู้เสนอทฤษฎีต่าง ๆ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ชนิดนี้มาแล้วกว่า 100 ทฤษฎี
นักดาราศาสตร์กลุ่มนี้ได้พบว่า
จากการวัดระยะเวลาระหว่างที่ตรวจพบรังสีนี้
วิธีการวัดระยะทางแบบใหม่นี้
จากการวัดระยะทางด้วยวิธีวัดค่าการเลื่อนไปทางแดงพบว่า
ระยะทางที่ไกลมากของแสงวาบรังสีแกมมาย่อมหมายถึงอายุที่เก่าแก่มากของมันเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม