ดาวเทียมโรแซต (ROSAT)
วันที่ 24 กันยายน 2554 ดาวเทียมยูอาร์ส (UARS) ขององค์การนาซาได้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ก่อนหน้านั้น โดยนาซาสรุปว่าดาวเทียมเผาไหม้เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ไม่มีรายงานการพบเห็น ซึ่งอาจเป็นเพราะอยู่ห่างไกลจากแผ่นดิน ประกอบกับเป็นเวลากลางวัน คาดว่าซากดาวเทียมที่ไหม้ไม่หมดได้ตกสู่ทะเล มาเดือนนี้ถึงคราวของดาวเทียมอีกดวงหนึ่งของเยอรมนี ทางการประเมินว่าอาจมีซากหลงเหลือราว 1.6 ตัน ตกลงสู่พื้นโลก มีโอกาสน้อยมากที่คนบนโลกจะได้รับอันตราย ล่าสุดคาดว่าเกิดขึ้นในวันที่ 23 ตุลาคม 2554 ระหว่างเวลา 08:43 - 08:57 น. ตามเวลาประเทศไทย
(ROSAT ย่อมาจาก Röntgensatellit ในภาษาเยอรมัน หรือ ROentgen SATellite ในภาษาอังกฤษ) เป็นดาวเทียมสำรวจท้องฟ้าในย่านรังสีเอกซ์ของเยอรมนี โดยความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ดาวเทียมมีขนาด 2.2 × 4.7 × 8.9 เมตร หนัก 2.4 ตัน ถูกนำขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดเดลตา 2 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2533 ที่แหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา
บรรยากาศโลกดูดซับรังสีเอกซ์ไว้ทำให้การศึกษาวัตถุท้องฟ้าในความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ ต้องอาศัยดาวเทียมที่โคจรอยู่ในอวกาศรอบโลก เดิมภารกิจของดาวเทียมโรแซตถูกกำหนดไว้นาน 18 เดือน แต่ดาวเทียมโรแซตก็ปฏิบัติงานอยู่ในอวกาศนานถึง 8 ปี มีนักวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 คน จาก 24 ประเทศ ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมโรแซตในงานวิจัยทางดาราศาสตร์
ภารกิจหลักของดาวเทียมโรแซตคือการทำแผนที่ท้องฟ้าในความยาวคลื่นรังสีเอกซ์สามารถระบุแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ได้มากกว่า 100,000 แหล่ง สังเกตและวิเคราะห์แก๊สร้อนในกระจุกดาว ซากซูเปอร์โนวา ค้นพบแหล่งรังสีเอกซ์ในดาราจักรเมฆแมเจลแลนใหญ่ และค้นพบว่าดาวหางก็แผ่รังสีเอกซ์ด้วย
พ.ศ.2541 ได้เกิดความผิดปกติขึ้นกับเครื่องติดตามดาว ซึ่งใช้เป็นอุปกรณ์หลักสำหรับกำหนดทิศทางของดาวเทียม ทำให้กล้องบนดาวเทียมหันเข้าหาดวงอาทิตย์ สร้างความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้ เยอรมนีตัดสินใจยุติภารกิจของดาวเทียมโรแซตในเดือนกุมภาพันธ์ 2542 มันจึงกลายเป็นขยะอวกาศชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งที่โคจรอยู่รอบโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ดาวเทียมโรแซตไม่มีระบบขับดันสำหรับควบคุมจึงไม่สามารถบังคับให้ตกสู่โลกในมหาสมุทรที่ห่างไกลผู้คนได้ มันจึงถูกปล่อยให้ตกตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปตามแรงต้านของชั้นบรรยากาศโลก แบบเดียวกับดาวเทียมยูอาร์สและขยะอวกาศอื่น ๆ วงโคจรของดาวเทียมโรแซตทำมุมเอียง 53 องศากับเส้นศูนย์สูตร ทำให้ขณะนี้ดาวเทียมมีโอกาสตกได้ทุกที่ที่อยู่ระหว่างละติจูด 53° เหนือ ลงมาถึงละติจูด 53° ใต้
ขยะอวกาศตกสู่โลกทุกเดือนเดือนละหลายครั้ง ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก จึงเผาไหม้หมดหรือเกือบหมดไปในบรรยากาศ ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ในกรณีของดาวเทียมดวงนี้ ศูนย์การบินและอวกาศเยอรมัน (Deutschen Zentrums für Luft- und Raumfahrt : DLR) คาดว่าเมื่อดาวเทียมโรแซตลุกไหม้เสียดสีกับบรรยากาศ ความร้อนและความเค้นจะทำให้ดาวเทียมแตกสลาย ซากดาวเทียมราว 30 ชิ้น น้ำหนักรวม 1.6 ตัน สามารถหลุดรอดผ่านชั้นบรรยากาศลงมาถึงพื้นโลกได้ ชิ้นที่หนักที่สุดและเป็นอันตรายที่สุดคือชิ้นส่วนและโครงสร้างที่ประกอบขึ้นเป็นกระจกรับแสงของกล้องโทรทรรศน์
ทางการประเมินว่าการตกของดาวเทียมดวงนี้มีโอกาสก่อให้เกิดอันตรายต่อคนบนพื้นโลกราว1 ใน 2,000 (มากกว่าดาวเทียมยูอาร์ส) อธิบายง่าย ๆ ได้ว่าหากมีการตกของดาวเทียมโรแซต 2,000 ครั้ง จะมี 1 ครั้งที่ซากชิ้นส่วนของดาวเทียมทำอันตรายต่อใครคนใดคนหนึ่งบนพื้นโลก พื้นที่เสี่ยงคือบริเวณกว้าง 80 กิโลเมตร ลากไปตามแนวการเคลื่อนที่ในวงโคจรช่วงสุดท้ายของดาวเทียม ขณะแตะชั้นบรรยากาศ ดาวเทียมโรแซตจะมีความเร็วสูงราว 8 กม./วินาที การเสียดสีทำให้ความเร็วลดลง อย่างไรก็ตาม ชิ้นส่วนที่หนักที่สุดเมื่อลงมาถึงพื้นโลกยังมีความเร็วสูงได้ถึง 450 กม./ชม.
เดิมคาดว่าดาวเทียมยูอาร์สอาจตกในปลายเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคม แต่มันก็ตกเร็วกว่าที่คะเนไว้ในตอนแรก ปัจจัยสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ ลมสุริยะที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ส่งผลต่อการขยายตัวหรือบีบตัวของชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งจะเพิ่มหรือลดแรงต้าน ทำให้ดาวเทียมที่โคจรอยู่ในวงโคจรต่ำตกเร็วหรือช้าลงจากที่คาดหมายได้ เยอรมนีจะร่วมกับสหรัฐอเมริกาในการติดตามการเคลื่อนที่ของดาวเทียมโรแซต แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อคำนวณวงโคจร ใช้ในการหาเวลาและจุดตกที่เป็นไปได้ของดาวเทียม ซึ่งเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ศูนย์การบินและอวกาศเยอรมันคาดว่าดาวเทียมโรแซตจะตกในช่วงวันที่ 20-25 ตุลาคม
เมื่อดาวเทียมตกสู่ชั้นบรรยากาศโลกจะก่อให้เกิดลูกไฟสว่างหลายลูกคนที่อยู่ใกล้มีโอกาสสังเกตเห็นได้บนท้องฟ้า การคำนวณจากวงโคจรเมื่อใกล้เที่ยงวันที่ 13 ตุลาคม 2554 พบว่าดาวเทียมโคจรรอบโลกอยู่ที่ความสูง 237-241 กิโลเมตร ลดลงด้วยอัตราประมาณ 3-4 กม./วัน โดยมีอัตราการตกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
(Jules Verne Automated Transfer Vehicle) ขององค์การอีซา (ESA) แตกกระจายและลุกไหม้บนท้องฟ้า เหนือทะเลทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ภาพเคลื่อนไหวนี้ถ่ายจากเครื่องบินของนาซาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551
จาก Analytical Graphic, Inc.
- 23 ตุลาคม 2554
- เวลา 10:41 น. JSpOC คาดหมายว่าโรแซตตกเมื่อเวลา 08:50 น. (± 7 นาที) ช่วงเวลานั้นดาวเทียมโรแซตเคลื่อนผ่านมหาสมุทรอินเดีย พม่า ภาคเหนือของไทย ชายแดนลาว-พม่า และทางใต้ของประเทศจีน
- เวลา 09:45 น. ศูนย์การบินและอวกาศเยอรมันยืนยันว่าดาวเทียมโรแซตเข้าสู่บรรยากาศโลกแล้ว คาดว่าอยู่ในช่วงเวลา 08:45 - 09:15 น. แต่ยังไม่มีรายงานพบเห็นว่าซากดาวเทียมตกที่ใด
ดาวเทียมโรแซต
ดาวเทียมโรแซตบรรยากาศโลกดูดซับรังสีเอกซ์ไว้
ภารกิจหลักของดาวเทียมโรแซตคือการทำแผนที่ท้องฟ้าในความยาวคลื่นรังสีเอกซ์
พ.ศ.
ดาวเทียมโรแซตไม่มีระบบขับดันสำหรับควบคุม
ขยะอวกาศตกสู่โลกทุกเดือน
ทางการประเมินว่าการตกของดาวเทียมดวงนี้มีโอกาสก่อให้เกิดอันตรายต่อคนบนพื้นโลกราว
ยังไม่ทราบเวลาตก
ความยากลำบากและความไม่แน่นอนของการพยากรณ์การตกของดาวเทียมหรือขยะอวกาศได้แสดงให้เห็นแล้วเมื่อครั้งที่ดาวเทียมยูอาร์สตกในเดือนกันยายนเมื่อดาวเทียมตกสู่ชั้นบรรยากาศโลกจะก่อให้เกิดลูกไฟสว่างหลายลูก
ยานจูลส์เวิร์นเอทีวี
ภาพจำลองการตกของดาวเทียมโรแซต