ฝนดาวตกในปี 2565
คาดหมายปรากฏการณ์ฝนดาวตกกลุ่มสำคัญในรอบปี 2565
ดาวตกเกิดจากสะเก็ดดาว ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของดาวหางและดาวเคราะห์น้อย เคลื่อนเข้าสู่บรรยากาศโลก หากสังเกตจากสถานที่ซึ่งท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีเมฆหมอก แสงจันทร์ และแสงไฟฟ้ารบกวน โดยทั่วไปสามารถมองเห็นดาวตกบนท้องฟ้าได้เฉลี่ยราว 6 ดวงต่อชั่วโมง ดาวตกที่สว่างมากเรียกว่าลูกไฟ (fireball) หากระเบิดเรียกว่าดาวตกชนิดระเบิด (bolide) ซึ่งบางครั้งก่อให้เกิดเสียงดัง
เส้นทางที่สะเก็ดดาวจำนวนมากเคลื่อนที่เป็นสายไปในแนวเดียวกันในอวกาศเรียกว่าธารสะเก็ดดาว(meteoroid stream) แรงโน้มถ่วงของวัตถุต่าง ๆ ในระบบสุริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวเคราะห์ ส่งผลรบกวนต่อธารสะเก็ดดาว เมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในธารสะเก็ดดาว ซึ่งเกิดขึ้นหลายช่วงของปี จะทำให้เห็นดาวตกหลายดวงดูเหมือนพุ่งออกมาจากบริเวณเดียวกันบนท้องฟ้า ซึ่งเป็นมุมมองในเชิงทัศนมิติ ลักษณะเดียวกับที่เราเห็นรางรถไฟบรรจบกันที่ขอบฟ้า เรียกปรากฏการณ์ที่เห็นดาวตกดูเหมือนพุ่งมาจากจุดเดียวกันนี้ว่าฝนดาวตก (meteor shower)
ในรอบปีมีฝนดาวตกหลายกลุ่มแต่ละกลุ่มมีลักษณะและจำนวนความถี่แตกต่างกันตามแต่องค์ประกอบและความเร็วของสะเก็ดดาว ฝนดาวตกบางกลุ่มอาจมีเพียงไม่กี่ดวงต่อชั่วโมง แต่ก็ยังเรียกว่าฝนดาวตก ดาวตกจากฝนดาวตกสามารถปรากฏในบริเวณใดก็ได้ทั่วท้องฟ้า แต่เมื่อลากเส้นย้อนไปตามแนวของดาวตก จะไปบรรจบกันที่จุดหนึ่ง เราเรียกจุดนั้นว่าจุดกระจาย (radiant) ชื่อฝนดาวตกมักตั้งตามกลุ่มดาวหรือดาวฤกษ์ที่อยู่บริเวณใกล้จุดกระจาย
ดาวตกจากฝนดาวตกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจุดกระจายขึ้นมาอยู่เหนือขอบฟ้าแล้วฝนดาวตกแต่ละกลุ่มจึงมีช่วงเวลาที่เห็นได้แตกต่างกัน แสงจันทร์และแสงจากตัวเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสังเกตดาวตก จึงควรหาสถานที่ซึ่งท้องฟ้ามืด ยิ่งฟ้ามืดก็จะยิ่งมีโอกาสเห็นดาวตกได้มากขึ้น อัตราตกของฝนดาวตกมักสูงสุดในช่วงที่จุดกระจายอยู่สูงบนท้องฟ้า จึงควรเลือกเวลาสังเกตให้ใกล้เคียงกับช่วงที่ตำแหน่งของจุดกระจายอยู่สูงสุด ซึ่งสามารถหาได้จากการหมุนแผนที่ฟ้า หรือซอฟต์แวร์จำลองท้องฟ้า หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีแสงจันทร์รบกวน และสังเกตก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างในเวลาเช้ามืด
บางปีฝนดาวตกบางกลุ่มจะมีอัตราตกสูงเป็นพิเศษ เกิดขึ้นเมื่อโลกโคจรผ่านธารสะเก็ดดาวในส่วนที่มีสะเก็ดดาวอยู่หนาแน่น ปัจจุบัน วิธีการพยากรณ์ว่าจะมีฝนดาวตกที่มีอัตราตกสูงมากเมื่อใด กระทำโดยสร้างแบบจำลองทำนายการเคลื่อนที่ของสะเก็ดดาว แล้วคำนวณว่าโลกจะมีเส้นทางผ่านธารสะเก็ดดาวนั้นเมื่อใด
- คอลัมน์ "คืนที่มีมากที่สุด" เครื่องหมายทับ (/) ใช้คั่นคืนวันแรกกับเช้ามืดของอีกวันหนึ่ง เช่น 3/4 หมายถึงคืนวันที่ 3 ถึงเช้ามืดวันที่ 4
- ข้อมูลฝนดาวตกโดยทั่วไปบอกอัตราตกสูงสุดที่จุดจอมฟ้า (Zenithal Hourly Rate : ZHR) ซึ่งหมายถึงอัตราตกเมื่อจุดกระจายอยู่ที่จุดเหนือศีรษะ และท้องฟ้ามืดจนเห็นดาวจางที่สุดด้วยโชติมาตร 6.5 ในการสังเกตการณ์จริง มุมเงยของจุดกระจายและอัตราตกสูงสุดที่จุดจอมฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา ตัวเลขอัตราตกสูงสุดในตารางนี้ได้คำนวณสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ โดยคำนึงถึงมุมเงยของจุดกระจายและผลจากแสงจันทร์รบกวนซึ่งทำให้ท้องฟ้าไม่มืดสนิท ในวงเล็บคือชั่วโมงที่คาดว่าตกสูงสุด หรือช่วงเวลาที่มีโอกาสเห็นดาวตกจำนวนมากที่สุดหากไม่มีเมฆบัง
- นอกจากเมฆ มลพิษทางแสงเป็นอุปสรรคสำคัญในการเห็นดาวตก การสังเกตดาวตกในเมืองใหญ่จะมีจำนวนดาวตกลดลงจากตัวเลขในตารางนี้หลายเท่า
- การคาดหมายอัตราตกของฝนดาวตกอาศัยข้อมูลตัวเลขจากปรากฏการณ์ในอดีต ควรใช้เป็นแนวทางคร่าว ๆ เท่านั้น เพราะมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้
- ฝนดาวตกควอดแดรนต์มีจุดกระจายอยู่บริเวณใกล้ส่วนหางของกลุ่มดาวหมีใหญ่หรือจระเข้ ส่วนฝนดาวตกกลุ่มอื่นมีจุดกระจายอยู่ในกลุ่มดาวชื่อเดียวกัน
- ใช้ข้อมูลฝนดาวตกจาก International Meteor Organization (IMO) และ Meteor Shower Flux Estimator โดย Peter Jenniskens
ฝนดาวตกควอดแดรนต์
ฝนดาวตกควอดแดรนต์มีจุดกระจายอยู่บริเวณตรงกลางระหว่างกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส คนเลี้ยงสัตว์ และมังกร ใกล้ปลายหางของกลุ่มดาวหมีใหญ่ หรือดาวจระเข้ ฝนดาวตกมักมีชื่อเรียกตามกลุ่มดาวที่จุดกระจายอยู่ ชื่อควอดแดรนต์มาจาก Quandrans Muralis เป็นชื่อละตินของกลุ่มดาวที่เคยอยู่บริเวณนี้
สะเก็ดดาวที่ทำให้เกิดฝนดาวตกควอดแดรนต์มาจากดาวเคราะห์น้อย 2003 อีเอช 1 (2003 EH 1) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับดาวหางมัคโฮลซ์ (96P/Machholz) ภายใต้สภาวะที่ท้องฟ้ามืดสนิทและจุดกระจายอยู่เหนือศีรษะ สามารถมีอัตราการตกได้สูงถึง 120 ดวงต่อชั่วโมง (แปรผันได้ระหว่าง 60-200) โดยมักตกสูงสุดราววันที่ 3-4 มกราคม ของทุกปีตำแหน่งของจุดกระจายบนท้องฟ้าทำให้พื้นที่บนโลกที่สังเกตฝนดาวตกกลุ่มนี้ได้ดีที่สุดคือประเทศในละติจูดสูงของซีกโลกเหนือ ประเทศไทยสังเกตได้ในอัตราที่ต่ำกว่าค่าสูงสุดเสมอ เนื่องจากละติจูดของประเทศไทยทำให้จุดกระจายอยู่สูงจากขอบฟ้าไม่มาก
จากข้อมูลตำแหน่งของธารสะเก็ดดาวและการเคลื่อนที่ของโลก คาดว่าใน พ.ศ. 2565 โลกจะเคลื่อนผ่านจุดที่หนาแน่นที่สุดของธารสะเก็ดดาวในวันอังคารที่ 4 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 03:40 น. เป็นจังหวะที่ซีกโลกด้านทวีปเอเชียหันเข้าหาจุดกระจายของฝนดาวตก ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเห็นดาวตกจากฝนดาวตกควอดแดรนต์ในอัตราค่อนข้างสูงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมาณ 03:30-05:30 น. ก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง โดยอาจอยู่ที่ราว 50 ดวง/ชั่วโมง (อาจต่ำกว่าหรือสูงกว่านี้) หากสังเกตในช่วง 02:30-03:30 น. อัตราตกจะต่ำกว่านี้เนื่องจากจุดกระจายยังอยู่ใกล้ขอบฟ้า
ฝนดาวตกพิณ
ฝนดาวตกพิณมีอัตราตกสูงสุดราววันที่ 21-22 เมษายน ของทุกปี อยู่ที่ประมาณ 18 ดวงต่อชั่วโมง (แปรผันได้ เคยสูงถึง 90 ในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อ พ.ศ. 2525) เกิดจากดาวหางแทตเชอร์ (C/1861 G1 Thatcher) เป็นดาวหางที่มีคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ยาวนานถึง 415 ปี
สำหรับประเทศไทย ปีนี้คาดว่าฝนดาวตกพิณจะมีอัตราสูงสุดในคืนวันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2565 จุดกระจายขึ้นเหนือขอบฟ้าในเวลา 4 ทุ่ม ช่วงเวลาที่มีโอกาสเห็นดาวตกได้มากที่สุดคือราวเที่ยงคืนถึงตี 1 หากท้องฟ้าเปิดโล่งทุกทิศ ไร้เมฆ และห่างไกลจากแสงไฟฟ้าในเมืองรบกวน คาดว่าอาจนับได้ราว
เส้นทางที่สะเก็ดดาวจำนวนมากเคลื่อนที่เป็นสายไปในแนวเดียวกันในอวกาศเรียกว่าธารสะเก็ดดาว
ในรอบปีมีฝนดาวตกหลายกลุ่ม
ดาวตกจากฝนดาวตกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจุดกระจายขึ้นมาอยู่เหนือขอบฟ้าแล้ว
บางปี
ฝนดาวตก | ช่วงที่ตก | คืนที่มีมากที่สุด | เวลาที่จุดกระจายขึ้นเหนือขอบฟ้าโดยประมาณ | อัตราตกสูงสุดในประเทศไทย* | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|
ควอดแดรนต์ | 28 | 3/4 | 02:00 | 50 | - |
พิณ | 16-25 | 22/23 | 22:00 | 10 | แสงจันทร์รบกวนหลังตี |
อีตาคนแบกหม้อน้ำ | 19 | 5/6/7 | 02:00 | 25 | - |
เดลตาคนแบกหม้อน้ำใต้ | 12 | 29/30/31 | 21:00 | 20 | - |
เพอร์ซิอัส | 17 | 12/13 | 22:30 | 25 | แสงจันทร์รบกวน |
นายพราน | 2 | 21/22 | 22:30 | 15 | แสงจันทร์รบกวนหลังตี |
สิงโต | 6-30 | 17/18/19 | 00:30 | 10 | แสงจันทร์รบกวนหลังตี |
คนคู่ | 4-17 | 14/15 | 20:00 | 75 | แสงจันทร์รบกวนหลัง |