แม้มนุษย์จะรู้จักดาวไมรา (Mira) มาเป็นเวลากว่า 400 ปี แต่ยังไม่มีนักดาราศาสตร์ที่สามารถถ่ายได้ภาพของดาวดวงนี้เป็นสองดวงได้เลย จนกระทั่งถึงยุคของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล
ภาพจากกล้องฮับเบิลสามารถแยกภาพได้ว่าดาวไมราซึ่งเป็นดาวยักษ์สีแดงมีดาวสหายขนาดจิ๋วสีน้ำเงินแต่ร้อนแรงอยู่ใกล้ ๆ และดาวทั้งสองต่างก็มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน อย่างใกล้ชิด
ดาวทั้งสองดวงนี้มีระยะห่างเชิงมุมเพียง0.6 พิลิปดา และระยะห่างจริงในอวกาศเพียง 70 หน่วยดาราศาสตร์ (1 หน่วยดาราศาสตร์เท่ากับระยะทางเฉลี่ยจากโลกถึงดวงอาทิตย์) ซึ่งระยะที่ใกล้ชิดขนาดนี้เกินกว่าที่กล้องโทรทรรศน์บนโลกจะแยกรายละเอียดเป็นสองดวงได้ เนื่องจากภาพจะถูกป่วนโดยบรรยากาศอันพลิ้วไหวที่ห่อหุ้มโลก
มาร์การิตาคารอฟสกา และจอห์น เรย์มอนด์ จากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด-สมิทโซเนียน (Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics) วาร์เรน แฮก จาก Space Telescope Science Institute และเอ็ดเวิร์ด ไกแนน จากมหาวิทยาลัยวิลาโนวา ใช้กล้องวัตถุจาง (Faint Object Camera) ของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลถ่ายภาพของดาวไมราทั้งในย่านแสงขาวและแสงอัลตราไวโอเลต ซึ่งผลงานนี้ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Astrophysical Journal Letters ฉบับ 20 มิถุนายน
ภาพที่ถ่ายในย่านอัลตราไวโอเลตพบว่ามีส่วนที่เป็นรูปเคียวยื่นจากดาวไมราไปยังดาวสหายซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นธารแก๊สจากบรรยากาศชั้นสูงดาวไมราที่กำลังถูกแรงดึงดูดของดาวสหายดูดเอาไป
ภาพจากฮับเบิลในย่านแสงขาวแสดงถึงรูปร่างที่ไม่สมดุลของดาวไมราดูเหมือนกับลูกรักบี้ ซึ่งความไม่สมดุลนี้อาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความสว่างของดาวไมราเอง ฮับเบิลสามารถวัดขนาดเชิงมุมของดาวไมราได้เท่ากับ 60 มิลลิพิลิปดา ซึ่งมีขนาดจริงใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ประมาณ 700 เท่า ถ้าสมมุติเอาดาวไมรามาวางไว้ที่ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ มันจะกินอาณาเขตเลยวงโคจรของดาวอังคารออกไปอีก
ดาวไมรามีชื่อทางการว่าโอไมครอน ซีตัส (Omicron Ceti) อยู่ในกลุ่มดาวซีตัส เป็นดาวต้นแบบของดาวแปรแสงชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่าดาวแปรแสงชนิดไมรา (Mira-type variable) ครั้งหนึ่งไมราเคยมีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ แต่ในปัจจุบันดาวดวงนี้อยู่ในช่วงเป็นดาวยักษ์แดงซึ่งเป็นช่วงบั้นปลายของชีวิต มีอุณหภูมิพื้นผิวต่ำ และมีความสว่างผันแปรมาก มีคาบการแปรแสง 332 วัน
ดาวสหายของไมราเป็นดาวที่สิ้นอายุแล้วหรือดาวแคระขาวซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยลมจากดาวไมรา
การถ่ายภาพดาวไมราให้มีรายละเอียดจนแยกดาวคู่ออกเป็นสองดวงได้นั้นเป็นสิ่งที่นักดาราศาสตร์ได้พยายามมาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งภาพดาวที่มีรายละเอียดสูงมีประโยชน์ในการศึกษากระบวนการต่าง ๆ ของระบบดาวคู่
ดาวไมราได้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่13 กันยายน พ.ศ. 2139 โดยนักดาราศาสตร์ชาวดัทช์ ชื่อเดวิด เฟบริคัส ซึ่งค้นพบโดยความบังเอิญเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโนวา เขาตั้งชื่อว่า ไมรา ซึ่งมีความหมายว่า อัศจรรย์ ต่อมานักดาราศาสตร์จึงได้ทราบว่าดาวนี้เป็นดาวแปรแสง ซึ่งเป็นดาวแปรแสงชนิดแรกที่มนุษย์รู้จัก
ภาพจากกล้องฮับเบิลสามารถแยกภาพได้ว่า
ดาวทั้งสองดวงนี้มีระยะห่างเชิงมุมเพียง
มาร์การิตา
ภาพที่ถ่ายในย่านอัลตราไวโอเลตพบว่ามีส่วนที่เป็นรูปเคียวยื่นจากดาวไมราไปยังดาวสหาย
ภาพจากฮับเบิลในย่านแสงขาวแสดงถึงรูปร่างที่ไม่สมดุลของดาวไมรา
ดาวไมรามีชื่อทางการว่า
ดาวสหายของไมราเป็นดาวที่สิ้นอายุแล้วหรือดาวแคระขาว
การถ่ายภาพดาวไมราให้มีรายละเอียดจนแยกดาวคู่ออกเป็นสองดวงได้นั้น
ดาวไมราได้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่