การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์นับเป็นเรื่องอมตะที่สุดเรื่องหนึ่งในแวดวงวิทยาศาสตร์ ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา หลายหลากทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่ออธิบายสาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในครั้งนั้น จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ได้มีหลักฐานที่ค่อนข้างหนักแน่นว่า เกิดจากดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่พุ่งชนโลกที่คาบสมุทรยูคาทานที่เม็กซิโกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน
ผลกระทบจากการพุ่งชนนั้นมีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา รวมถึงทฤษฎีที่กล่าวว่าการพุ่งชนทำให้ฝุ่นจำนวนมหาศาลถูกสาดขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ บดบังแสงอาทิตย์จนพื้นล่างจมอยู่ภายใต้เงามืดนานนับสัปดาห์หรือนับเดือน เกิดฤดูหนาวนิวเคลียร์จนพืชใบเขียวตายไปเป็นจำนวนมาก ไดโนเสาร์กินพืชและไดโนเสาร์กินเนื้อก็ตายตามไป
แต่มีหลายคนไม่เชื่อทฤษฎีนี้ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน 2 คน คือ ชาลส์ ค็อกเคลล์ จากศูนย์วิจัยเอมส์ของนาซา กับ แอนดรูว บลาวสไตน์ จากมหาวิทยาลัยรัฐโอรีกอน เสนอว่า ไนโตรเจนและซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อย จะทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศ ทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาถึงพื้นโลกมากขึ้นถึง 2 เท่าจากภาวะปรกติ รังสีอันตรายนี้ได้ทำลายระบบนิเวศน์ของโลกอย่างแรงจนทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ขึ้น
ผลกระทบจากการพุ่งชนนั้นมีการคาดการณ์ไปต่าง
แต่มีหลายคนไม่เชื่อทฤษฎีนี้