ดาวหางแอตลัส (C/2024 S1)
ดาวหางซี/2024 เอส1 (แอตลัส) - C/2024 S1 (ATLAS) เป็นดาวหางที่ค้นพบเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ชื่อนำหน้าในบัญชีดาวหางบ่งบอกว่าเป็นดาวหางดวงแรกที่ค้นพบในครึ่งหลังของเดือนกันยายน ค.ศ. 2024 ชื่อสามัญตั้งตามผู้ค้นพบ เป็นการค้นพบจากภาพถ่ายของโครงการแอตลัส (ATLAS ย่อมาจาก Asteroid Terrestrial-impact Last Alert System) ซึ่งเป็นโครงการค้นหาวัตถุที่อาจพุ่งชนโลก ผลการคำนวณวงโคจรแสดงว่าเป็นดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์ มีระยะห่างของจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเพียง 0.008 หน่วยดาราศาสตร์ (1.2 ล้านกิโลเมตร) หรือห่างผิวดวงอาทิตย์เพียง 5 แสนกิโลเมตร
ดาวหางแอตลัสเป็นสมาชิกของกลุ่มครอยทช์ซึ่งเป็นกลุ่มของดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์ที่นักดาราศาสตร์รู้จักกันดี (ตั้งชื่อตามไฮน์ริช ครอยทช์ นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นคนแรกที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับดาวหางกลุ่มนี้อย่างเป็นระบบ) ที่ผ่านมามีการค้นพบดาวหางกลุ่มครอยทช์มาแล้วหลายพันดวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพถ่ายจากหอสังเกตการณ์โซโฮ ซึ่งเป็นยานสำรวจดวงอาทิตย์ที่โคจรอยู่ในอวกาศใกล้โลก คาดว่าต้นกำเนิดของกลุ่มครอยทช์เป็นดาวหางขนาดมหึมาดวงหนึ่ง (ราว 100 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่มากเมื่อเทียบกับดาวหางดวงอื่น) ดาวหางดวงนี้ได้แตกออกเป็น 2 ดวง เมื่อนานมาแล้ว (เคยคาดว่าอาจเป็นดาวหางที่ปรากฏเมื่อ 371 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่ไม่มีข้อมูลที่สนับสนุนเพียงพอ) และทำให้เกิดดาวหางขนาดเล็กจำนวนมากเคลื่อนที่อยู่ในวงโคจรใกล้เคียงกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มย่อย (ดาวหางแอตลัสอยู่ในกลุ่มที่ 2 ซึ่งพบน้อยกว่ากลุ่มที่ 1) ดาวหางกลุ่มครอยทช์มีคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ประมาณ 500-1,000 ปี ดาวหางดวงที่มีชื่อเสียงในอดีต เช่น ดาวหางยักษ์แห่งปี 1882 (C/1882 R1) ดาวหางอิเกะยะ-เซะกิ (C/1965 S1) ดาวหางเลิฟจอย (C/2011 W3)
นับตั้งแต่ค้นพบดาวหางแอตลัสอยู่บนท้องฟ้าเวลาเช้ามืด ความสว่างมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามระยะทางที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก มักถูกทำลายจนไม่เหลือซากเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ แต่ดวงนี้อาจมีขนาดใหญ่พอที่จะเหลือซากชิ้นส่วนกลับออกมาหลังจากเฉียดใกล้ดวงอาทิตย์แล้ว
ดาวหางแอตลัสจะผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่28 ตุลาคม 2567 เบื้องต้นคาดว่าช่วงที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอาจมีโชติมาตรน้อยกว่า 0 แม้ว่าโชติมาตรในระดับนี้จะเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ดาวหางอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากจนไม่สามารถสังเกตได้
อนาคตของดาวหางดวงนี้มีความไม่แน่นอนสูงแต่เรามั่นใจได้ว่าความร้อนสูง การแผ่รังสี และความโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อดาวหาง ขนาดของนิวเคลียสซึ่งเป็นใจกลางดาวหางน่าจะเป็นปัจจัยหลักบ่งบอกว่าดาวหางจะมีอนาคตเช่นไร จากประสบการณ์ในการสังเกตดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์หลายดวงที่ผ่านมา อาจแบ่งได้เป็น 3 ฉากทัศน์
1.ดาวหางแตกออกเป็นหลายดวงก่อนจะผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด และยังเหลือซากให้เห็นขณะเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์
2.ดาวหางถูกทำลายขณะผ่านใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด และแทบไม่เหลือชิ้นส่วนให้สังเกตได้หลังจากนั้น
3.ดาวหางผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด สูญเสียมวลไปในปริมาณมาก อาจแตกออกเป็นหลายชิ้น แต่ยังเหลือชิ้นส่วนขนาดใหญ่พอให้สังเกตได้เมื่อโคจรห่างออกมาจากดวงอาทิตย์
จากการที่ดาวหางแอตลัสถูกค้นพบขณะยังอยู่ค่อนข้างไกลเชื่อว่ามีโอกาสอยู่บ้างที่จะเหลือชิ้นส่วนหรือซากกลับออกมาหลังจากผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด แต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อผ่านจุดนั้นแล้วดาวหางจะยังสว่างพอให้สังเกตได้หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป สาเหตุที่เชื่อว่าดาวหางมีโอกาสจะแตกสูงเพราะสภาพแวดล้อมใกล้ดวงอาทิตย์ไม่เอื้อให้วัตถุอย่างดาวหางคงสภาพเดิมอยู่ได้
ช่วงวันที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดภาพถ่ายจากหอสังเกตการณ์โซโฮซึ่งเป็นข้อมูลใกล้เคียงเวลาจริงน่าจะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับดาวหางไอซอน (C/2012 S1) ที่ราวกับถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาขณะใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเมื่อคืนวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556
ภาพถ่ายคอโรนากราฟของโซโฮมี2 ชนิด คือ LASCO C2 และ LASCO C3 ภาพ C2 มีขอบเขตภาพแคบกว่า C3 ดาวหางแอตลัสน่าจะปรากฏในภาพถ่ายทั้งสอง จากการคำนวณ ผู้เขียนคาดว่าดาวหางแอตลัสจะเริ่มปรากฏในภาพ C3 ในวันที่ 26 ตุลาคม 2567 (เวลาประมาณ 11 น. ตามเวลาสากล หรือเย็นวันเดียวกันตามเวลาไทย) มีโอกาสที่จะพบดาวหางขนาดเล็กติดตามมาใกล้ ๆ อาจนำหน้าหรือตามหลังดาวหางแอตลัส ซึ่งถือเป็นเรื่องปรกติที่จะพบดาวหางในกลุ่มครอยทช์มากกว่า 1 ดวง เคลื่อนที่มาด้วยกัน หากเหลือชิ้นส่วนกลับออกมาหลังจากผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ดาวหางอาจปรากฏในภาพ C3 ต่อเนื่องไปถึงวันที่ 30 ตุลาคม
ตุลาคม 2567) วันที่ 19 ตุลาคม ดาวหางได้ปะทุความสว่างขึ้นมาอยู่ที่ราวโชติมาตร 8-9 และดูเหมือนว่ากำลังสว่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับลดความสว่างลงไปที่โชติมาตร 10-11 ในวันที่ 22 ตุลาคม เป็นสัญญาณว่าอาจกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงจนมีความเป็นไปได้ที่นิวเคลียสของดาวหางแอตลัสอยู่ในกระบวนการของการแตกเป็นส่วน ๆ หลังจากนั้นดาวหางแอตลัสเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นจนสังเกตได้ยาก ต้องรอให้ดาวหางปรากฏอีกครั้งในภาพถ่ายจากโซโฮเพื่อประเมินโอกาสในการสังเกตได้ต่อไป
(27ตุลาคม 2567) ดาวหางแอตลัสเริ่มปรากฏในภาพถ่ายจากหอสังเกตการณ์โซโฮใกล้เคียงกับเวลาที่ได้พยากรณ์ไว้ แต่จากลักษณะที่ปรากฏ ดูเหมือนว่าโอกาสที่ดาวหางจะรอดออกมาหลังจากผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดมีน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามต่อไป นอกจากนี้ ในภาพจากโซโฮยังพบเห็นดาวหางกลุ่มครอยทช์ที่มีความสว่างน้อยกว่ามาก เคลื่อนที่นำหน้าและอยู่ในแนววงโคจรเดียวกับดาวหางแอตลัส (ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ) ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
(29ตุลาคม 2567) ดาวหางแอตลัสผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดไปแล้วเมื่อค่ำวันที่ 28 ตุลาคม ตามเวลาในประเทศไทย สามารถมองเห็นได้ในภาพถ่ายจากหอสังเกตการณ์โซโฮ โดยมีความสว่างลดลงและจางหายไป แสดงว่าได้ถูกทำลายไปจนเมื่อเหลือชิ้นส่วนใด ๆ ใหัสังเกตได้
●C/2024 S1 (ATLAS) - Seiichi Yoshida
●CBET 5459 - Central Bureau for Astronomical Telegrams
●Fragmentation Hierarchy of Bright Sungrazing Comets and the Birth and Orbital Evolution of the Kreutz System. I. Two-Superfragment Model
●รู้จักดาวหาง
ดาวหางแอตลัสเป็นสมาชิกของกลุ่มครอยทช์
วงโคจรของดาวหางในกลุ่มครอยทช์ (จาก NASA's Goddard Space Flight Center Scientific Visualization Studio )
นับตั้งแต่ค้นพบ
ดาวหางแอตลัสจะผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่
อนาคตของดาวหางดวงนี้มีความไม่แน่นอนสูง
1.
2.
3.
จากการที่ดาวหางแอตลัสถูกค้นพบขณะยังอยู่ค่อนข้างไกล
ช่วงวันที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
ภาพถ่ายคอโรนากราฟของโซโฮมี
แนวการเคลื่อนที่ของดาวหางแอตลัสในขอบเขตภาพของกล้องคอโรนากราฟบนยานโซโฮ (ตามเวลาสากล) วงกลมเส้นประกลางภาพแทนดวงอาทิตย์ที่ถูกบังไว้ (จาก วรเชษฐ์ บุญปลอด)
ความเคลื่อนไหวล่าสุด
(24(27
ภาพถ่ายจากกล้อง LASCO C3 บนยานโซโฮเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2567 เวลา 09:30 น. ตามเวลาประเทศไทย (จาก SOHO/ESA/NASA)
(29
ภาพถ่ายจากกล้อง LASCO C2 บนยานโซโฮเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 เวลา 12:24 น. ตามเวลาประเทศไทย (จาก SOHO/ESA/NASA)
แหล่งข้อมูล
●
●
●
ดูเพิ่ม
●