สมาคมดาราศาสตร์ไทย

รู้จักดาวหาง

รู้จักดาวหาง

5 มิถุนายน 2558 โดย: วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
ปรับปรุงครั้งล่าสุด 4 มีนาคม 2567
มนุษย์รู้จักดาวหางมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล บันทึกเก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับดาวหางเป็นบันทึกของนักดาราศาสตร์ชาวจีนที่เขียนรูปดาวหางลงบนผ้าไหม อยู่ในยุคราชวงศ์ชางของจีน ซึ่งมีอายุถึงกว่าสามพันปีมาแล้ว ทางฝั่งยุโรปก็มีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลเช่นกัน

ในอดีต ผู้คนยังไม่รู้จักดาวหางมากไปกว่ารู้ว่าเป็นก้อนมัว ๆ อยู่บนฟ้าที่ทอดหางยาว คนในยุคนั้นส่วนใหญ่มองดาวหางไปในทางอัปมงคล เช่นเป็นลางร้าย เป็นทูตแห่งความตายและสงคราม หรือแม้แต่เป็นเครื่องมือพยากรณ์ ความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับดาวหางก้าวหน้าไปอย่างเชื่องช้า เริ่มตั้งแต่ในปี 635 ก่อนคริสต์ศักราช นักดาราศาสตร์จีนตั้งข้อสังเกตว่าหางของดาวหางชี้ออกจากดวงอาทิตย์เสมอ อย่างไรก็ตามคนในยุคแรกยังเชื่อว่าดาวหางน่าจะเป็นวัตถุที่อยู่ในชั้นบรรยากาศโลก เนื่องจากดาวหางมีรูปร่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วชนิดวันต่อวัน ต่างจากวัตถุท้องฟ้าชนิดอื่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ การศึกษาดาวหางอย่างเป็นระบบน่าจะเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 16 เมื่อ ทีโค บราห์ วัดระยะห่างของดาวหางด้วยวิธีแพรัลแลกซ์ จนได้ข้อสรุปว่าดาวหางเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหนือบรรยากาศโลก และโคจรรอบดวงอาทิตย์

ความรู้เกี่ยวกับดาวหางเพิ่งจะมาเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง โดยเฉพาะเมื่อดาวหางแฮลลีย์มาเยือนโลก และองค์กรด้านอวกาศหลายองค์กรต่างส่งยานออกไปสำรวจในระยะใกล้

กายวิภาคของดาวหาง

ส่วนประกอบสำคัญที่สุดของดาวหางคือนิวเคลียส ซึ่งเป็นก้อนแข็งมีโครงสร้างแบบที่เรียกว่า "ก้อนหิมะสกปรก" มีองค์ประกอบหลักเป็นหิน น้ำแข็ง ฝุ่น และแก๊สเยือกแข็งอีกบางชนิด เช่นคาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย มีเทน เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้น้ำแข็งระเหิดออกเป็นไอ และพ่นออกเป็นลำจากนิวเคลียสตามจุดที่เป็นช่องเปิดบนพื้นผิว ไอน้ำที่พ่นออกมาได้หอบเอาฝุ่นที่ปะปนอยู่ออกมาด้วย แก๊สและฝุ่นที่พ่นออกมาก่อตัวเป็นชั้นเมฆเบาบางห่อหุ้มก้อนน้ำแข็งอยู่ เรียกว่า โคม่า ยิ่งดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น อัตราการคายแก๊สและฝุ่นก็เพิ่มขึ้น โคม่าของดาวหางก็จะใหญ่ขึ้นมาก ดาวหางดวงใหญ่บางดวงอาจมีโคม่าใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เสียอีก

โครงสร้างของดาวหาง 

เมื่อรังสีและลมสุริยะจากดวงอาทิตย์พัดมาถึงดาวหาง ก็จะกวาดให้แก๊สและฝุ่นให้ปลิวไปด้านหลังจนมองเห็นเป็นหาง อันเป็นเอกลักษณ์ของดาวหาง หางของดาวหางมีสองส่วนใหญ่ ๆ หางส่วนแรก เกิดจากโมเลกุลที่ถูกทำให้เป็นไอออนโดยรังสีจากดวงอาทิตย์ แล้วถูกลมสุริยะพัดออกไปตามแนวตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ หางส่วนนี้จึงมักเหยียดตรง เรียกว่าหางแก๊ส หรือหางไอออน

ส่วนที่เป็นฝุ่นมีอนุภาคใหญ่กว่าแก๊ส จึงได้รับอิทธิพลจากลมสุริยะน้อยกว่าแก๊ส กลุ่มของฝุ่นจึงแยกออกจากส่วนที่เป็นหางแก๊ส แนวที่ฝุ่นหลุดลอยออกจากโคม่ากวาดโค้งไปตามเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาวหาง หางส่วนนี้เรียกว่าหางฝุ่น อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบของหางฝุ่นมีขนาดตั้งแต่เล็กระดับไมครอน จนถึงใหญ่เท่ากำปั้น อนุภาคในหางฝุ่นนี้เมื่อพ้นจากหางไปแล้วก็ยังเกาะกันเป็นทางยาวและเคลื่อนที่ไปในลักษณะเดียวกับดาวหางต้นกำเนิด เรียกว่าธารสะเก็ดดาว เมื่อใดที่โลกเคลื่อนที่ผ่านธารสะเก็ดดาวนี้ สะเก็ดดาวก็จะตกลงสู่บรรยากาศโลก ทำให้เกิดฝนดาวตก มีฝนดาวตกประจำปีหลายกลุ่มที่สามารถติดตามหาดาวหางต้นกำเนิดได้

ฝนดาวตกและดาวหางต้นกำเนิด


วัตถุต้นกำเนิดฝนดาวตก
ดาวหาง 73 พี/ชวัสมันน์-วัคมันน์ฝนดาวตกเทาเฮอร์คิวลีส
ดาวเคราะห์น้อย 2003 อีเอช 1ฝนดาวตกควอแดรนต์
ดาวหางแทตเชอร์ฝนดาวตกพิณ
ดาวหาง 26 พี/กริกก์-สเกเลรัปฝนดาวตกพายท้ายเรือ
ดาวหางแฮลลีย์ฝนดาวตกอีตาคนแบกหม้อน้ำ
ดาวหาง 96 พี/มัคโฮลซ์ฝนดาวตกปลา
ดาวหาง พี/ปง-วินเนคเคอฝนดาวตกคนเลี้ยงสัตว์เดือนมิถุนายน
ดาวหาง 96 พี/มัคโฮลซ์ฝนดาวตกเดลตาคนแบกหม้อน้ำใต้
ดาวหาง 169 พี/นีตฝนดาวตกแอลฟาคนยิงธนู
ดาวหาง 109 พี/สวิฟต์-ทัตเติลฝนดาวตกเพอร์ซิอัส
ดาวเคราะห์น้อย 2008 อีดี 69ฝนดาวตกแคปปาหงส์
ดาวหางไคสส์ฝนดาวตกสารถี
ดาวหาง 21 พี/เจียโคบีนี-ซินเนอร์ฝนดาวตกมังกร
ดาวหางแฮลลีย์ฝนดาวตกนายพราน
ดาวหาง พี/เองเคอฝนดาวตกวัวใต้
ดาวเคราะห์น้อย 2004 ทีจี 10ฝนดาวตกวัวเหนือ
ดาวหาง ดี/ไบลาฝนดาวตกแอนดรอเมดา
ดาวหาง 55 พี/เทมเพิล-ทัตเติลฝนดาวตกสิงโต
ดาวหาง 289 พี/บลองแพงฝนดาวตกนกฟีนิกซ์
ดาวเคราะห์น้อย 3200 แฟทอนฝนดาวตกคนคู่
ดาวหาง พี/ทัตเติลฝนดาวตกหมีเล็ก


เฟรด ลอว์เรนซ์ วิปเพิล ผู้เสนอทฤษฎีก้อนหิมะสกปรก 

ดาวหางไม่มีหาง

แม้หางจะเป็นเอกลักษณ์ของดาวหาง แต่ดาวหางบางดวงก็เป็นดาวหางไร้หาง เช่นหากดาวหางดวงนั้นมีวงโคจรไกลจากดวงอาทิตย์มาก รังสีที่ได้รับจากดวงอาทิตย์จะอ่อนมากจนทำให้เกิดหางไม่ได้ ตัวอย่างของดาวหางประเภทนี้ เช่น ดาวหางคิลสตัน (ซี/1966 พี1) และ ดาวหาง 2006 เอสคิว 372

มีหาง แต่ไม่ใช่ดาวหาง

วัตถุบนท้องฟ้าที่ทอดหางสีขาวเป็นทางยาวก็อาจไม่ใช่ดาวหางเสมอไป บางครั้งดาวเคราะห์น้อยก็สาดหางคล้ายดาวหางได้เหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์พบวัตถุจำนวนหนึ่งในแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก ซึ่งอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี วัตถุเหล่านี้มีรูปร่างคล้ายดาวหาง ทั้งที่มีวงโคจรแบบดาวเคราะห์น้อยแถบหลัก นั่นคือ มีวงโคจรเกือบกลม และมีระนาบวงโคจรใกล้เคียงกับระนาบสุริยวิถี เชื่อว่าวัตถุประเภทนี้มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับดาวเคราะห์น้อย เมื่อดาวเคราะห์น้อยถูกวัตถุดวงอื่นพุ่งชน การชนนั้นอาจทำให้มีเศษหินฝุ่นกระเด็นออกไปเป็นสายจนดูคล้ายดาวหางได้ หากเป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีองค์ประกอบเป็นน้ำแข็งอยู่ใต้พื้นผิวมาก เมื่อถูกวัตถุพุ่งชน จะเกิดแผลเปิดบนพื้นผิว เผยให้น้ำแข็งที่อยู่เบื้องล่างสัมผัสรังสีจากดวงอาทิตย์ ก็จะเกิดปฏิกิริยาแบบเดียวกับดาวหางได้เช่นกัน แม้ว่าจะมีหางเหมือนดาวหาง แต่การที่กลไกการเกิดหางต่างจากดาวหาง จึงไม่ถือว่าเป็นดาวหางที่แท้จริง บางครั้งอาจเรียกวัตถุจำพวกนี้ว่า ดาวหางแถบหลัก

ดาวเคราะห์น้อยมีหาง ค้นพบใน พ.ศ. 2554 ถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล แต่วัตถุดวงนี้ก็ไม่ใช่ดาวหาง หากแต่เป็นดาวเคราะห์น้อยที่เพิ่งถูกชนกับวัตถุอื่น แรงจากการชนได้สาดฝุ่นออกไปเป็นหางคล้ายดาวหาง 

ดาวเคราะห์น้อย พี/2010 เอ (ลิเนียร์) ดูคล้ายดาวหางมาก มีหางยาวถึง 300,000 กิโลเมตร คาดว่าหางที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการพุ่งชนของวัตถุอื่นจนเกิดเป็นหางฝุ่นทอดยาวออกไป 

หางย้อน

บางครั้ง ดาวหางก็ปรากฏมีหางประหลาดพุ่งออกมาจากหัวชี้เข้าหาดวงอาทิตย์ ซึ่งมีทิศทางต่างจากหางปกติที่ชี้ออกจากดวงอาทิตย์ หางนี้เรียกว่าหางย้อน ความจริงหางย้อนไม่ได้มีทิศทางพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์แต่อย่างใด เกิดขึ้นเมื่อมุมมองจากโลกทำมุมกับดวงอาทิตย์แคบ ๆ และหางฝุ่นของดาวหางนั้นเหยียดโค้งจนส่วนปลายยื่นล้ำออกมาอีกด้านหนึ่งของหัว ดาวหางชื่อดังหลายดวงมีหางย้อนปรากฏด้วย เช่นดาวหางอาเรนด์-โรแลนด์ ดาวหางเฮล-บอปป์ และดาวหางแพนสตารร์ส

คาบของดาวหาง

ดาวหางโคจรรอบดวงทิตย์ด้วยคาบหลากหลายมาก ดาวหางที่มีคาบโคจรสั้นที่สุดคือ ดาวหางเองเคอ โคจรรอบดวงทิตย์ครบรอบทุก 3.3 ปี ส่วนดาวหางที่คาบโคจรยาวที่สุดอาจยาวถึงหลายล้านปี หรือบางดวงก็ไม่โคจรรอบดวงอาทิตย์ หากแต่เข้ามาเยือนดวงอาทิตย์เพียงครั้งเดียวแล้วไม่วกกลับมาอีกเลย

นักดาราศาสตร์จัดกลุ่มของดาวหางตามคาบการโคจรไว้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ ดาวหางคาบยาว และดาวหางคาบสั้น

ดาวหางคาบยาว บางครั้งก็เรียกว่า ดาวหางไม่มีคาบ หมายถึงดาวหางที่มีคาบการโคจร 200 ปีหรือมากกว่า มีบันทึกการพบเห็นเพียงครั้งเดียว ดาวหางในกลุ่มนี้มีเส้นทางโคจรเป็นรูปวงรีหรือพาราโบลาหรืออาจเป็นไฮเพอร์โบลา จึงถือได้ว่าเป็นดาวหางที่มีโอกาสเห็นเพียงครั้งเดียวในชั่วชีวิตหนึ่ง ดาวหางที่สว่างมาก ๆ มักเป็นดาวหางประเภทนี้

ส่วนดาวหางคาบสั้น คือดาวหางที่มีคาบโคจรสั้นกว่า 200 ปี ดาวหางคาบสั้นที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ ดาวหางแฮลลีย์ ดาวหางคาบสั้นส่วนใหญ่มักไม่สว่างมากนัก ปัจจุบันพบดาวหางคาบสั้นแล้วประมาณ 293 ดวง

ดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์

คือดาวหางที่มีเส้นทางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มาก ดาวหางจำพวกนี้หลายดวงถูกรังสีร้อนแรงของดวงอาทิตย์ทำลายไปจนหมดสิ้น แต่บางดวงก็รอดพ้นออกมาได้ ดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์มีอัตราการคายฝุ่นและแก๊สสูงมาก จึงมักสว่างมาก แต่กลับสังเกตได้ยาก เนื่องจากการที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มาก จึงมักถูกแสงจ้าจากดวงอาทิตย์บดบัง การสำรวจดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์จึงถูกมองข้ามไปเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงยุคของกล้องโทรทรรศน์อวกาศและหอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ เช่น โซโฮ นับจากที่ดาวเทียมดวงนี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าใน พ.ศ. 2538 ได้พบดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 ดวง!

ภาพจากหอสังเกตการณ์โซโฮ วงกลมทึบกลางภาพคือส่วนของโล่บังแสงอาทิตย์ วงสีขาวแสดงตำแหน่งและขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์ที่ถูกบัง ในภาพปรากฏดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์สองดวงกำลังพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์ 

ที่น่าสนใจก็คือ ดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์ที่พบโดยโซโฮราว 83 เปอร์เซ็นต์มีวงโคจรคล้ายกัน คาดว่าดาวหางในกลุ่มนี้ทั้งหมดเป็นเศษชิ้นส่วนที่แตกมาจากดาวหางใหญ่ดวงหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีก่อน นักดาราศาสตร์เรียกกลุ่มดาวหางพวกนี้ว่า กลุ่มครอยทซ์ ตั้งชื่อตาม ไฮน์ริช ครอยทซ์ ผู้ค้นพบความสัมพันธ์นี้ ดาวหางในกลุ่มครอยทซ์หลายดวงกลายมาเป็นดาวหางที่ได้รับการขนานนามว่า ดาวหางยักษ์ เช่น ดาวหางอิเกะยะ-เซะกิ ดาวหางยักษ์แห่งปี 1843 ดาวหางเลิฟจอย

ชื่อของดาวหาง

บุคคลทั่วไปมักคุ้นเคยกับชื่อสามัญของดาวหางที่ตั้งชื่อตามบุคคล เช่น ดาวหางแฮลลีย์ ดาวหางเฮล-บอปป์ ซึ่งมักตั้งชื่อตามผู้ค้นพบหรือผู้คำนวณวงโคจรได้ถูกต้องเป็นคนแรก ในระยะแรกการตั้งชื่อแบบนี้ดูไม่เป็นปัญหา ซ้ำยังสะดวกเรียก สะดวกจำ แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้น มีการค้นพบดาวหางมากขึ้นในแต่ละปี คน ๆ หนึ่งอาจมีโอกาสค้นพบดาวหางได้หลายดวง การเรียกแบบเดิมจะเริ่มมีปัญหา ไม่อาจใช้ระบุดาวหางที่แน่ชัดได้ นับจากปี 2547 สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลได้กำหนดวิธีตั้งชื่อที่เป็นทางการของดาวหางไว้ใหม่ มีรูปแบบเป็น

T/YYYY HS

โดยที่

     คือรหัสชนิดของดาวหาง มีดังนี้
          หมายถึงดาวหางคาบสั้น
          หมายถึงดาวหางคาบยาว (หรือไม่มีคาบ)
          หมายถึงดาวหางที่คำนวณวงโคจรไม่ได้ เนื่องจากเป็นดาวหางในอดีต ไม่มีข้อมูลเพียงพอ
          หมายถึงดาวหางที่สลายหรือสาบสูญไปแล้ว
          หมายถึงดาวเคราะห์น้อยที่เคยเข้าใจผิดว่าเป็นดาวหาง
     YYYY คือ คริสต์ศักราชที่ค้นพบ หรือ ปีที่ทราบว่าเป็นดาวหางรายคาบ
     คือ อักษรบอกปักษ์ที่ค้นพบ เช่น คือปักษ์แรกของเดือนมกราคม คือปักษ์ที่สองของเดือนมกราคม คือปักษ์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ จนสิ้นสุดที่อักษร (ข้ามอักษรตัว ไป)
     คือลำดับการค้นพบในปักษ์นั้น
หากดาวหางดวงนั้นได้กลับมาปรากฏให้เห็นมากกว่าหนึ่งครั้ง (ซึ่งหมายความว่าเป็นดาวหางรายคาบ มีอักษร นำหน้า) หน้าอักษร จะมีเลขลำดับนำหน้าอยู่ เช่นดาวหางแฮลลีย์ มีชื่อว่า 1P/1682 Q1

อย่างไรก็ตาม ในการเรียกชื่อที่ไม่เป็นทางการมากนัก การเรียกชื่อดาวหางด้วยชื่อสามัญตามบุคคลนั้นยังคงเป็นที่นิยมกันอยู่ เราจึงมักพบการใช้ชื่อแบบผสมระหว่างชื่อทางการกับชื่อสามัญ เช่น ดาวหางเฮียะกุตะเกะ มักเขียนเป็น C/1996 B2 (Hyakutake) ดาวหางแฮลลีย์ ก็จะเขียนเป็น 1P/1682 Q1 (Halley) หรือย่อเข้าไปอีกก็เป็น 1P/Halley


ต้นกำเนิดของดาวหาง

ในยุคที่ระบบสุริยะก่อตัวขึ้น รอบดวงอาทิตย์วัยเยาว์ยังเต็มไปด้วยวัตถุขนาดน้อยใหญ่ กระจัดกระจายอยู่ในแผ่นจานที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เมื่อวัตถุก้อนใหญ่ซึ่งเป็นวัตถุตั้งต้นของดาวเคราะห์ยักษ์ก่อตัวขึ้น และต่อมามีการเคลื่อนย้ายวงโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น แรงดึงดูดมหาศาลของวัตถุนั้นจะรบกวนให้วัตถุขนาดย่อมลงมาเสียสมดุล วัตถุเหล่านี้บางส่วนถูกปัดเข้ามาใส่ดวงอาทิตย์ บางส่วนถูกดาวเคราะห์ยักษ์กลืนไปเป็นเนื้อเดียวกัน และอีกไม่น้อยที่ถูกเหวี่ยงออกไปอยู่ที่ขอบนอก ในกลุ่มหลังนี้บางดวงอาจถูกเหวี่ยงออกไปแรงมากจนหลุดออกจากพันธนาการของระบบสุริยะไปเลย บางส่วนก็ยังคงโคจรอยู่ที่ขอบนอกของระบบสุริยะ

วัตถุดวงเล็กตามชายขอบเหล่านี้ บางดวงที่มีต้นกำเนิดอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์อยู่แล้ว ย่อมมีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบอยู่มาก วัตถุเหล่านี้จะกลายเป็นต้นกำเนิดดาวหางต่อมา นักดาราศาสตร์คาดว่า ระบบสุริยะของเรามีดาวหางทารกเช่นนี้อยู่นับล้านล้านดวง เมื่อใดที่มีแรงดึงดูดรบกวนเข้ามา ซึ่งอาจเกิดจากมีดาวฤกษ์ดวงอื่นผ่านเข้ามาใกล้ วัตถุเหล่านี้ก็จะเริ่มเสียสมดุล วงโคจรเริ่มเปลี่ยนเป็นวงรีมากขึ้น มีโอกาสได้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น หากดวงใดเข้าใกล้มากพอที่จะทำให้น้ำระเหิดออก วัตถุดวงนั้นก็จะกลายเป็นดาวหาง

การวิเคราะห์วงโคจรในเชิงสถิติทำให้นักดาราศาสตร์คาดว่าดงของดาวหางทารกมีสองกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มหนึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 20,000-100,000 หน่วยดาราศาสตร์ ล้อมรอบระบบสุริยะทุกทิศทางเป็นทรงกลมขนาดมหึมา เรียกว่าเมฆออร์ต คาดว่าดาวหางคาบยาวมีต้นกำเนิดมาจากดงดาวหางนี้ อีกกลุ่มหนึ่งเกาะกลุ่มกันเป็นวงแหวนแนวเดียวกับระนาบของระบบสุริยะที่ระยะพ้นดาวเนปจูนออกไป ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 30-50 หน่วยดาราศาสตร์ วงแหวนนี้เรียกว่า แถบไคเปอร์ คาดว่าเป็นแหล่งกำเนิดดาวหางคาบสั้น

สถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับดาวหาง

 ดาวหางที่เคยพบว่ามีหางมากที่สุดคือ ดาวหางโชซู ที่ค้นพบใน พ.ศ. 2283 มีหางไม่น้อยกว่า หาง
 ดาวหางที่มีหางยาวที่สุดเท่าที่เคยบันทึกคือ ดาวหางเฮียะกุตะเกะ มีหางยาวไม่น้อยกว่า 500,000,000 กิโลเมตร
 การศึกษาสเปกตรัมของดาวหางครั้งแรก มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2407 โดย โจวันนี โดนาตี พบว่า ดาวหางไม่เพียงสะท้อนสเปกตรัมของดวงอาทิตย์เท่านั้น ยังมีสเปกตรัมบางเส้นที่เกิดจากสารที่มีอยู่ในดาวหางเองด้วย
 ดาวหางดวงแรกที่ค้นพบในขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง คือ ดาวหางทีวฟิก ค้นพบใน พ.ศ. 2425 ภาพการค้นพบครั้งนั้นถ่ายที่ประเทศอียิปต์ และหลังจากนั้นแล้วก็ไม่เห็นดาวหางดวงนี้อีกเลย ภาพ ๆ นั้นจึงเป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวเท่าที่มีอยู่

ดาวหางทีวฟิก 

 ดาวหางรายคาบที่สว่างที่สุดคือ ดาวหางแฮลลีย์ มีคาบ 76 ปี ครั้งที่สว่างที่สุดคือ พ.ศ. 1380 ในครั้งนั้นดาวหางได้เข้าใกล้โลกเพียง 0.04 หน่วยดาราศาสตร์ มีอันดับความสว่าง -3.5 และสาดหางออกไปยาวถึง 93 องศา
 ดาวหางดวงแรกที่พบว่าพุ่งเข้าชนดวงอาทิตย์คือ 1979 XI (โฮเวิร์ด-คูแมน-ไมเคิลส์) พุ่งเข้าชนดวงอาทิตย์เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2522
 ดวงหางดวงแรกที่พบว่าพุ่งเข้าชนดาวเคราะห์คือ ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี พุ่งเข้าชนดาวพฤหัสบดีในเดือน กรกฎาคม 2537
 ดาวหางคาบสั้นดวงแรกที่สามารถคำนวณวงโคจรได้คือ ดาวหางเองเคอ
 ดาวหางที่มีคาบสั้นที่สุดคือ ดาวหางเองเคอ มีคาบ 3.3 ปี
 ดาวหางที่สว่างที่สุดในศตวรรษที่ 20 คือ ดาวหางยักษ์กลางวันแห่งปี 1910 มีอันดับความสว่างประมาณ -5 (สว่างกว่าดาวศุกร์)
 บุคคลที่เป็นผู้ค้นพบดาวหางมากที่สุดคือ ชอง-ลุย ปง พบ 37 ดวง
 ผู้หญิงคนแรกที่ค้นพบดาวหางคือ แคโรไลน์ เฮอร์เชล น้องสาวของ เซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล

ดาวหางแห่งความผิดหวัง

แม้ดาวหางจะเป็นสิ่งที่สวยงาม ทุกคนชื่นชอบ แต่ดาวหางก็เป็นวัตถุที่คาดเดาได้ยากในเรื่องพฤติกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านความสว่าง ดาวหางบางดวงดูเหมือนจะกลายเป็นดาวหางที่สว่างมากเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ แต่เมื่อถึงเวลาเข้ามาใกล้จริง ๆ กลับไม่สว่างอย่างที่คิด
ในปี 2516 มีการค้นพบดาวหางดวงใหม่ ชื่อ ดาวหางโคฮูเทก ขณะนั้นดาวหางดวงนี้อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ถึง 700 ล้านกิโลเมตร ทำให้นักดาราศาสตร์เชื่อว่า เมื่อเข้าใกล้โลกจะต้องเป็นดาวหางที่มีความสว่างไสวอย่างมากแน่นอน จนถึงกับคาดการณ์ว่าจะเป็นดาวหางแห่งศตวรรษ แต่เมื่อถึงเวลาจริง โคฮูเทกกลับกลายเป็นแค่ดาวหางธรรมดาเล็ก ๆ ดวงหนึ่งเท่านั้น
ความผิดหวังจาก "ดาวหางแห่งศตวรรษ" จากดาวหางโคฮูเทกคงเทียบไม่ได้กับดาวหางอีกดวงหนึ่งที่ได้รับฉายาล่วงหน้าว่า "ดาวหางแห่งสหัสวรรษ" นั่นคือดาวหางไอซอน ดาวหางดวงนี้ถูกค้นพบในปี 2555 ในช่วงแรกมีการคาดการณ์ว่าดาวหางดวงนี้เมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์อาจจะสว่างยิ่งกว่าพระจันทร์เต็มดวง เนื่องจากมีเส้นทางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากและมีนิวเคลียสที่ไวต่อการกระตุ้น แต่เมื่อดาวหางดวงนี้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ กลับถูกแรงน้ำขึ้นลงของดวงอาทิตย์ฉีกจนแหลกสลายไป สรุปว่าดาวหางดวงนี้ไม่เคยสว่างพอที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ดาวหางแห่งความผิดหวัง

ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี (D/1993 F2)

ดาวหางดวงนี้ได้แตกออกเป็นสายของดาวหางน้อย ๆ วิ่งตามกันเป็นขบวน และทั้งหมดก็พุ่งเข้าชนดาวพฤหัสบดีในเดือนกรกฎาคม 2537 เป็นครั้งแรกที่มีการสำรวจการพุ่งชนของวัตถุในระบบสุริยะ แต่ละชิ้นมีขนาดตั้งแต่เล็กน้อยจนถึง กิโลเมตร ที่น่าสนใจคือขณะที่ค้นพบนั้น พบว่าดาวหางดวงนี้กำลังโคจรรอบดาวพฤหัสบดี ไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งคำนวณย้อนหลังกลับไปได้ว่าดาวหางดวงนี้เคยเป็นบริวารของดวงอาทิตย์มาก่อน แต่ถูกดาวพฤหัสบดีคว้าจับไปเป็นบริวารของตนเองก่อนหน้านั้นประมาณ 20-30 ปี การพุ่งชนได้ทิ้งรอยแผลบนบรรยากาศของดาวพฤหัสบดีจนพรุนไปทั้งวง

ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี 

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ดาวหาง วัตถุจากสุดขอบระบบสุริยะนี้เก็บความลับดำมืดเกี่ยวกับต้นกำเนิดระบบสุริยะเอาไว้ บางทีการศึกษาดาวหางอาจช่วยให้เรามองเห็นการกำเนิดระบบสุริยะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจอธิบายแหล่งที่มาเกี่ยวกับน้ำบนโลกได้ รวมถึงอาจตอบคำถามได้ว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร ดาวหางอาจมีบทบาทเป็นผู้ให้ชีวิตบนดาวเคราะห์โลก ในทางกลับกัน วันหนึ่งข้างหน้าอาจมีดาวหางบางดวงพุ่งตรงมายังโลก ยุติชีวิตทั้งหมดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็ได้ จึงต้องมีการเฝ้าระวัง ติดตาม และเตรียมการหาวิธีหลีกเลี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นจากดาวหาง ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องศึกษาดาวหางต่อไป

บทความนี้ตัดตอนและปรับปรุงมาจากบทความเรื่อง "รู้จักดาวหาง" ที่เผยแพร่ครั้งแรกในวารสารทางช้างเผือก ฉบับกรกฎาคม-กันยายน พ.ศ. 2556