สมาคมดาราศาสตร์ไทย

ซูเปอร์มูน ใหญ่จริงหรือ

ซูเปอร์มูน ใหญ่จริงหรือ

โดย: วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com) 16 พฤษภาคม 2565
ปรับปรุงครั้งล่าสุด 4 พฤศจิกายน 2568
หลายปีที่ผ่านมา มีชื่อปรากฏการณ์ท้องฟ้าใหม่ชื่อหนึ่งให้ได้ยินบ่อยครั้ง นั่นคือ ซูเปอร์มูน เรามักจะได้ยินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าจะเกิดซูเปอร์มูนในวันที่นั้นวันที่นี้ ในวันนั้นดวงจันทร์จะเต็มดวงและมีขนาดใหญ่โตกว่าปกติ เป็นจันทร์เพ็ญที่ใหญ่ที่สุดในรอบกี่เดือนกี่ปีก็ว่ากันไป ให้ประชาชนเฝ้าดู เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่น่าชม หากพลาดแล้วจะอดดูอีกนาน ฯลฯ

ซูเปอร์มูนคืออะไร


คำจำกัดความคร่าว ๆ ของซูเปอร์มูนก็คือ จันทร์เพ็ญที่มีขนาดใหญ่โตกว่าปกติ 

ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเป็นวงรี ดังนั้นในแต่ละเดือนก็จะมีช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกและช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลก ช่วงไหนอยู่ใกล้โลกก็ย่อมปรากฏเป็นดวงใหญ่กว่าช่วงที่อยู่ห่างจากโลก ยิ่งถ้าคืนไหนดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกแล้วยังตรงกับจันทร์เพ็ญด้วย จันทร์เพ็ญในคืนนั้นก็จะทั้งใหญ่ทั้งสว่างกว่าจันทร์เพ็ญครั้งอื่น นั่นแหละ ซูเปอร์มูน 


ประเด็นที่ต้องมาตั้งคำถามคือ 1. มันใหญ่จริงหรือ? 2. มันน่าดูแค่ไหน? และ 3. มันเกิดยากแค่ไหน?

ข้อแรกตอบง่าย จริง ขนาดปรากฏของดวงจันทร์ช่วงที่อยู่ใกล้ที่สุดจะใหญ่กว่าช่วงที่อยู่ไกลที่สุดราว 12 เปอร์เซ็นต์ หากวัดด้วยเครื่องมือวัดก็จะเห็นความแตกต่างได้จริง แต่การแยกแยะความแตกต่างด้วยด้วยตาเปล่าไม่น่าจะง่ายนัก คนที่ดูดวงจันทร์บ่อย ๆ หรือสายตาดีจริง ๆ ก็อาจสังเกตได้ว่าใหญ่กว่าปกติจริง แต่คงมีไม่มากนักที่สังเกตได้ 

มาทดลองกันดู เหรียญ 50 สตางค์ใหญ่กว่าเหรียญ 25 สตางค์ 12 เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน หากนำสองเหรียญนี้มาวางใกล้ ๆ กันย่อมสังเกตความแตกต่างกันได้ทุกคน ดวงจันทร์บนท้องฟ้ามีขนาดปรากฏประมาณครึ่งองศาซึ่งใกล้เคียงกับขนาดของเหรียญ 25 สตางค์ที่อยู่ห่างออกไป เมตร ทีนี้ลองเอาเหรียญ 25 สตางค์แปะบนกระดาษขาวแล้วให้หันให้เพื่อนดูโดยถือกระดาษห่างจากตาเพื่อน เมตรโดยไม่ต้องบอกว่าเป็นเหรียญอะไร หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ทำแบบเดียวกันกับเหรียญ 50 สตางค์ แล้วถามเพื่อนว่าเหรียญที่ดูครั้งใดใหญ่กว่า จะเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกความแตกต่าง การสังเกตให้เห็นความใหญ่พิเศษของดวงจันทร์ในคืนซูเปอร์มูนก็ยากไม่ต่างกัน

ขนาดเปรียบเทียบระหว่างดวงจันทร์ช่วงที่อยู่ใกล้โลกที่สุดกับดวงจันทร์ช่วงที่อยู่ไกลโลกที่สุด (จาก Robert Vanderbei)

อย่าลืมว่าตัวเลข 12 เปอร์เซ็นต์ที่ยกมา คือความแตกต่างระหว่างขนาดปรากฏของดวงจันทร์ช่วงใกล้สุดกับช่วงไกลสุด แต่ในความเป็นจริงเราจะไม่มีทางเห็นจันทร์เพ็ญช่วงใกล้สุดกับช่วงไกลสุดอยู่ห่างกันแค่เดือนสองเดือนเลย ขนาดปรากฏของจันทร์เพ็ญในวันซูเปอร์มูนกับจันทร์เพ็ญในครั้งก่อนหน้าหรือครั้งถัดไปจะต่างกันน้อยมาก นั่นจะยิ่งทำให้การสังเกตความแตกต่างยิ่งยากขึ้นไปอีกหลายเท่า

ถึงตอนนี้ทุกคนคงได้คำตอบข้อที่ ในใจแล้ว

อย่างไรก็ตาม หากเราสังเกตซูเปอร์มูนตั้งแต่เริ่มขึ้นจากขอบฟ้าตอนพลบค่ำ อาจรู้สึกว่ามันช่างใหญ่โตมโหฬารเสียจริง ๆ ดูราวกับว่าดวงจันทร์ใหญ่กว่าปกติถึงเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว ครั้นเวลาผ่านไป ดวงจันทร์ลอยสูงขึ้นกลับดูเล็กลง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลจากภาพลวงตา ภาพดวงจันทร์ที่ขอบฟ้าที่ดูใหญ่เป็นความใหญ่ในความรู้สึกของเราเอง ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นจากขอบฟ้าหรือใกล้จะลับขอบฟ้าก็ดูใหญ่กว่าปกติเหมือนกันทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้ใหญ่ขึ้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันทั้งกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ไม่เกี่ยวกับความเป็นซูเปอร์มูนแต่อย่างใด

เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน


หากจะทราบว่าปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน เราต้องมาดูนิยามของซูเปอร์มูนให้ชัดเจนขึ้นอีกสักนิดว่ามีคำจำกัดความไว้อย่างไร 

ความจริงแล้ว คำว่าซูเปอร์มูนนี้ ไม่ใช่ศัพท์ดาราศาสตร์เสียทีเดียว คุณไม่ต้องไปเปิดหานิยามของคำนี้จากพจนานุกรมดาราศาสตร์เล่มใด เพราะจะไม่พบ คำนี้เริ่มใช้เป็นครั้งแรกโดยโหรคนหนึ่งชื่อ ริชาร์ด โนลล์ เพื่อใช้ในการพยากรณ์เหตุเภทภัยต่าง ๆ ตามประสาโหร เขานิยามว่าซูเปอร์มูนคือดวงจันทร์ขณะจันทร์เพ็ญหรือจันทร์ดับที่อยู่ห่างจากโลกภายใน 90 เปอร์เซ็นต์ของระยะใกล้ที่สุดของวงโคจร  อธิบายด้วยตัวอักษรไม่ค่อยเห็นภาพ ดูรูปดีกว่า

แผนภูมิวงโคจรของดวงจันทร์ นิยามของซูเปอร์มูนของ ริชาร์ด โนลล์ ผู้ใช้คำนี้เป็นครั้งแรก ระบุว่า ถ้าจันทร์เพ็ญหรือจันทร์ดับขณะที่อยู่ห่างจากโลกน้อยกว่า 0.1 (D d) ถือว่าเป็นซูเปอร์มูน  


ระยะใกล้โลกที่สุดและระยะไกลโลกที่สุดของดวงจันทร์ในแต่ละเดือนไม่คงที่เสียทีเดียว แต่มีความผันแปรเล็กน้อย การคำนวณจึงต้องใช้ตัวเลขจุดไกลสุดและจุดใกล้สุดของเดือนนั้น ๆ มาคำนวณ ตัวอย่างเช่น ดวงจันทร์ในเดือนนี้มีจุดไกลโลกที่สุดในวงโคจร 405,285 กิโลเมตร และมีจุดใกล้โลกที่สุด 360,298 กิโลเมตร ระยะจำกัดของซูเปอร์มูนจึงเป็น 364,796 กิโลเมตร ถ้าเกิดจันทร์เพ็ญหรือจันทร์ดับขณะอยู่ห่างจากโลกไม่เกิน 364,796 กิโลเมตร ก็จะถือเป็นซูเปอร์มูน 

ต่อมาวงการดาราศาสตร์ก็รับคำนี้เข้ามา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มสุนทรียรสในการดูดาว ไม่ได้ใช้ในการพยากรณ์ แต่ละสำนักอาจเปลี่ยนนิยามให้ต่างไปเล็กน้อย เช่น วารสารสกายแอนด์เทเลสโกป ระบุว่าซูเปอร์มูนคือจันทร์เพ็ญที่เกิดขึ้นที่ระยะห่างจากโลกน้อยกว่า 358,884 กิโลเมตร ส่วนเว็บ timeanddate.com ระบุว่าซูเปอร์มูนคือจันทร์เพ็ญที่เกิดขึ้นที่ระยะห่างจากโลกน้อยกว่า 360,000 กิโลเมตร ไม่ว่าจะใช้นิยามใด ความหมายก็ยังคงไปในทิศทางเดียวกันคือ จันทร์เพ็ญเมื่อดวงจันทร์อยู่ใกล้ 

หากยึดถือตามคำนิยามของต้นตำรับ จะพบว่าปีหนึ่งอาจเกิดซูเปอร์มูนขึ้นได้ถึง 3-4 ครั้งเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าบ่อยมาก 

โปรดสังเกตว่า นิยามซูเปอร์มูนต้นตำรับใช้ได้กับทั้งจันทร์เพ็ญและจันทร์ดับ จึงมีผู้สร้างคำใหม่เพื่อแยกแยะจันทร์ดับกับจันทร์เพ็ญขึ้นไปอีก เป็น super new Moon (ซูเปอร์มูนจันทร์ดับ) กับ super full Moon (ซูเปอร์มูนจันทร์เพ็ญ) นอกจากนี้หากไปเกิดร่วมกับบลูมูน ก็เกิดคำว่า super blue Moon เพิ่มเข้ามาอีก เมื่อเกิดร่วมกับจันทรุปราคา ก็เรียก super blood Moon ถ้าเกิดร่วมกับจันทรุปราคาและบลูมูน ก็มีชื่อเรียกสุดอลังการว่า super blue blood Moon เคยมีสื่อเจ้าหนึ่งถึงกับใช้คำว่า Super Blue Blood Moon Eclipse นับว่าปรากฏการณ์จืด ๆ อย่างซูเปอร์มูนสามารถสร้างลูกหลานคำออกมาได้มากมายเลยทีเดียว



ความน่าสนใจของซูเปอร์มูน


การที่ซูเปอร์มูนไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยาก ผู้ที่ออกไปชมจันทร์ในคืนซูเปอร์มูนควรที่จะเข้าใจในจุดนี้เพื่อจะได้ไม่คาดหวังสูงเกินไป ควรดูดวงจันทร์ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เฝ้าคอยด้วยภาพฝันลม ๆ แล้ง ๆ ความผิดหวังไม่ใช่เรื่องน่ารื่นรมย์ 

นอกจากเป็นเรื่องที่ผู้สนใจดาราศาสตร์และการดูดาวจะต้องทำความเข้าใจแล้ว หน่วยงานด้านดาราศาสตร์และสื่อมวลชนต่าง ๆ ก็ควรระมัดระวังในการเผยแพร่ด้วย ไม่ควรกระพือข่าวให้ใหญ่โตอลังการเกินจริง ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ซูเปอร์มูนเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรให้ใส่ใจและจดจำมากนัก มองข้ามไปเสียเลยก็ดี บนท้องฟ้ายังมีปรากฏการณ์อื่นที่น่าสนใจอีกมากให้ชมให้กล่าวถึง น่าสนใจมากกว่าจันทร์เพ็ญที่ต้องมีคนคอยกำกับว่า "ดูดี ๆ มันใหญ่กว่าปกตินะเห็นไหม"

อ่านเพิ่มเติม

 จันทร์เพ็ญเมื่อดวงจันทร์ใกล้โลก