เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2548 ยานแคสซีนีของนาซาได้เฉียดเข้าใกล้ดวงจันทร์เอนเซลาดัสด้วยระยะห่าง 175 กิโลเมตรจากพื้นผิว และได้ถ่ายภาพจำนวนหนึ่งไว้ นักดาราศาสตร์พบสิ่งน่าสนใจเป็นพิเศษในภาพจากแคสซีนีในครั้งนี้ เพราะพบรอยแตกหลายรอย ยาวประมาณ 130 กิโลเมตร ห่างกันราว 40 กิโลเมตร และเป็นแนวเกือบขนานกัน ต่อมานักดาราศาสตร์เรียกรอยเหล่านี้ว่า "ลายพาดกลอน"
การค้นพบครั้งนี้สนับสนุนผลการสำรวจก่อนหน้านี้ที่พบว่าขั้วใต้ของดวงจันทร์ดวงนี้ยังคงคึกคักไปด้วยกัมมันตภาพหลายอย่างจากการสำรวจโดยกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินก่อนหน้านี้พบว่าดวงจันทร์เอนเซลาดัสสว่างวาบขึ้นมากว่าปรกติในช่วงที่หันขั้วใต้มาทางโลก
รอยแตกนี้ทำหน้าที่เหมือนรูระบายสิ่งต่างๆ จากภายในดาวออกมา ซึ่งได้แก่ไอน้ำและละอองของผลึกน้ำแข็ง เมื่อน้ำแข็งพุ่งออกจากรอยแตกนั้น ละอองน้ำแข็งนั้นจะตกผลึกเป็นน้ำแข็งใหม่ เมื่อผลึกถูกรังสีเป็นระยะเวลาหนึ่ง โครงสร้างผลึกก็จะค่อยสึกกร่อนไป การศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผลึกจะทำให้ทราบระยะเวลาของกระบวนการกัดกร่อนและทำให้ทราบอายุของลายพาดกลอนนี้ได้ด้วย นักดาราศาสตร์พบว่ากระบวนการกัดกร่อนนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี และการที่ปัจจุบันยังพบน้ำแข็งทั้งที่เป็นผลึกใหม่และผลึกเก่าดวงจันทร์ดวงนี้ แสดงว่ารอยแตกนี้ยังมีอายุน้อยอยู่มาก
นั่นหมายความว่าดวงจันทร์เอนเซลาดัสยังเป็นดวงจันทร์ที่คุกรุ่นไปด้วยกัมมันตภาพ(activity) และมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอย่างคึกคัก แต่สิ่งนี้เป็นปริศนาชวนคิดอยู่ไม่น้อย เพราะการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยามีความร้อนเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ แต่ดวงจันทร์เอนเซลาดัสมีขนาดเล็กมากเพียง 500 กิโลเมตรเท่านั้น วัตถุที่เล็กขนาดนี้น่าจะเย็นและพ้นช่วงกัมมันต์ไปนานแล้ว แล้วเหตุใดดวงจันทร์ดวงนี้ยังคงรักษาความร้อนอยู่ได้ นั่นเป็นคำถามที่รอให้ขบคิดกันต่อไป
เอนเซลาดัสเป็นหนึ่งในดวงจันทร์เพียงไม่กี่ดวงในระบบสุริยะที่เป็นดวงจันทร์ที่มีกัมมันตภาพมากตัวอย่างดวงอี่นได้แก่ ดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสบดี และดวงจันทร์ไทรทันของดาวเนปจูน
การค้นพบครั้งนี้สนับสนุนผลการสำรวจก่อนหน้านี้ที่พบว่าขั้วใต้ของดวงจันทร์ดวงนี้ยังคงคึกคักไปด้วยกัมมันตภาพหลายอย่าง
รอยแตกนี้ทำหน้าที่เหมือนรูระบายสิ่งต่าง
นั่นหมายความว่าดวงจันทร์เอนเซลาดัสยังเป็นดวงจันทร์ที่คุกรุ่นไปด้วยกัมมันตภาพ
เอนเซลาดัสเป็นหนึ่งในดวงจันทร์เพียงไม่กี่ดวงในระบบสุริยะที่เป็นดวงจันทร์ที่มีกัมมันตภาพมาก