เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในที่ประชุมสื่อมวลชนของนาซาที่วอชิงตันดีซี นักดาราศาสตร์ได้เปิดเผยผลสำรวจของดาวเทียมที่เป็นศูนย์รวมความหวังของนักดาราศาสตร์ชื่อ ดับเบิลยูแมป (WMAP--Wilkinson Microwave Anisotropy Probe) น่าแปลกที่ผลงานอันยิ่งใหญ่ของดับเบิลยูแมปคือ ความไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีการค้นพบสิ่งที่จะมาปฏิวัติความคิดหรือทฤษฎีทางจักรวาลวิทยาปัจจุบัน แต่ดับเบิลยูแมปได้ยืนยันและสนับสนุนความคิดเดิมของนักดาราศาสตร์ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
เดิมดาวเทียมลำนี้มีชื่อว่าแมปแต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วิลคินสันไมโครเวฟแอนไอโซทรอปีโพรบ เพื่อเป็นเกียรติแก่ เดวิด ที. วิลคินสัน นักจักรวาลวิทยา ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว
ดับเบิลยูแมปทะยานขึ้นจากโลกเมื่อเดือนมิถุนายน2544 และได้เข้าประจำตำแหน่งในอวกาศที่จุดลากรองแอล 2 (L2 lagrangian point) ซึ่งอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ห่างจากโลกประมาณ 1.5 ล้านกิโลเมตร หน้าที่หลักคือสำรวจทำแผนที่คลื่นไมโครเวฟพื้นหลังของอวกาศ
คลื่นไมโครเวฟพื้นหลังของอวกาศเป็นแสงเรืองค้างของแสงในเอกภพที่เกิดขึ้นราว 380,000 ปีหลังจากการระเบิดใหญ่ที่เป็นจุดกำเนิดของเอกภพ ทั่วทุกพื้นที่ของเอกภพมีคลื่นไมโครเวฟพื้นหลังอยู่ทั่วไปและมีอย่างเกือบสม่ำเสมอในทุกทิศทาง รังสีพื้นหลังแต่ละบริเวณมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ระลอกของรังสีพื้นหลังนี้เกิดจากความอลหม่านที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการกำเนิดเอกภพ การศึกษาขนาดและความเข้มของระลอกรังสีพื้นหลังช่วยให้ทราบว่าเอกภพมีต้นกำเนิดเป็นอย่างไร
เดิมนักดาราศาสตร์เคยเชื่อว่าการศึกษาระลอกรังสีพื้นหลังจะต้องกระทำนอกโลกเท่านั้นเป็นเหตุที่ต้องมีโครงการดับเบิลยูแมปขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีนักดาราศาสตร์จำนวนมากได้พยายามสำรวจสิ่งนี้จากภาคพื้นดินด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นสำรวจตามยอดเขา ตามที่ราบสูงในทวีปแอนตาร์กติกา หรือจากบัลลูน แม้การสำรวจบนโลกจะด้อยกว่าดับเบิลยูแมปหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำรวจบนท้องฟ้าที่แคบกว่า ความไวและความละเอียดของอุปกรณ์น้อยกว่า และสัญญาณรบกวนมากกว่า แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของเครื่องมือวัดได้พัฒนาไปอย่างมาก การสำรวจต่าง ๆ จึงสามารถทดแทนและเติมเต็มข้อบกพร่องซึ่งกันและกันได้ ทำให้การสำรวจภาคพื้นดินประสบความสำเร็จได้ไม่แพ้ดับเบิลยูแมป และบางอย่างกลับทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ
สิ่งที่ดับเบิลยูแมปค้นพบมีดังนี้
●ปริภูมิทั่วทั้งเอกภพราบเรียบ เช่นเดียวกับปริภูมิรอบตัวเราที่คุ้นเคย นั่นหมายความว่า เส้นขนานจะคงเป็นเส้นขนานตลอดความยาวไม่ว่าเส้นนั้นจะยาวเพียงใด เอกภพราบเรียบเป็นการสนับสนุนทฤษฎีเอกภพโป่งพอง (cosmic inflation theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานของทฤษฎีบิกแบงว่าถูกต้อง และหมายความว่าเอกภพไม่มีขอบเขต บริเวณนอกเหนือจากเอกภพที่มองเห็นแล้วก็ยังคงมีดาราจักรและกระจุกดาราจักรอย่างไม่สิ้นสุด
●สรรพสิ่งในเอกภพประกอบด้วยสสารแบริออน (สสารที่ประกอบเป็นอะตอม) 4.4 ± 0.4 เปอร์เซ็นต์ สสารมืด 23 ± 4 เปอร์เซ็นต์ และพลังงานมืด 73 ± 4 เปอร์เซ็นต์
●สสารมืดเป็นสสารมืดเย็น ไม่มีสสารมืดร้อน นิวทริโนมีปริมาณไม่เกิน 0.76 เปอร์เซ็นต์ของสสารและพลังงานทั้งหมดในเอกภพ ซึ่งหมายความว่ามวลของนิวทริโนมีไม่เกิน 0.23 อิเล็กตรอนโวลต์
●เอกภพมีอายุ 13.7 ± 0.2 พันล้านปี ตัวเลขนี้ได้จากวิธีการประมาณอายุที่ดีที่สุด มีความผิดพลาดไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์
●ค่าคงตัวฮับเบิล ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงอัตราการขยายของเอกภพ มีค่าเท่ากับ 71 ± 4 กิโลเมตรต่อวินาทีต่อเมกะพาร์เซก ตัวเลขนี้สอดคล้องต้องกับค่าที่ได้จากการประเมินโดยวิธีอื่น ๆ เช่นโครงการฮับเบิลสเปซเทเลสโกปคีย์ ซึ่งใช้วิธีสำรวจดาวแปรแสงชนิดซีฟิดในดาราจักรอื่น
●ดาวฤกษ์ดวงแรกเกิดขึ้นเมื่อเอกภพมีอายุเพียง 100 ถึง 400 ปี ตัวเลขนี้น้อยกว่าที่นักดาราศาสตร์เคยประมาณเอาไว้ ดับเบิลยูแมปได้ตัวเลขนี้มาจากการวัดรูปแบบของโพลาไรเซชันของรังสีไมโครเวฟพื้นหลัง
ข้อมูลจากดับเบิลยูแมปที่ได้มาในครั้งนี้ได้มาจากการปฏิบัติงานนานเพียง 1 ปี แต่ดาวเทียมนี้มีกำหนดอายุใช้งานไว้ 4 ปี ดังนั้นภารกิจการสำรวจเอกภพยังคงดำเนินต่อไป และคาดว่าจะช่วยให้นักดาราศาสตร์มองภาพของเอกภพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามนักจักรวาลวิทยากำลังตระเตรียมโครงการใหญ่ต่อไป นั่นคือภารกิจ พลังค์ ขององค์การอวกาศยุโรป ซึ่งมีความละเอียดของเครื่องมืดวัดสูงกว่า พลังค์มีกำหนดจะขึ้นสู่อวกาศในต้นปี 2550
เดิมดาวเทียมลำนี้มีชื่อว่าแมป
ดับเบิลยูแมปทะยานขึ้นจากโลกเมื่อเดือนมิถุนายน
คลื่นไมโครเวฟพื้นหลังของอวกาศ
เดิมนักดาราศาสตร์เคยเชื่อว่าการศึกษาระลอกรังสีพื้นหลังจะต้องกระทำนอกโลกเท่านั้น
สิ่งที่ดับเบิลยูแมปค้นพบ
●
●
●
●
●
●
ข้อมูลจากดับเบิลยูแมปที่ได้มาในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม