โศกนาฏกรรมอวกาศ
บันทึกความตายจากประวัติศาสตร์การเดินทางสู่ดวงดาว
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2504 ชาวโซเวียตชื่อ ยูริ กาการิน เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ขึ้นสู่อวกาศและได้โคจรรอบโลก เหตุการณ์นั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งการเดินทางสู่อวกาศ หลังจากกาการินก็ตามมาด้วยคนที่สองที่สามต่อมาไม่ขาดสาย นับจนถึงปัจจุบัน (2567) มีมนุษย์ที่ได้เดินทางขึ้นสู่อวกาศแล้วไม่ต่ำกว่า 650 คน
การเดินทางไปยังอวกาศเป็นการเดินทางที่อันตรายมากเพราะต้องเกี่ยวข้องกับยานที่มีเชื้อเพลิงมหาศาล ความเร็วสูงมากในระดับหลายหมื่นกิโลเมตรต่อชั่วโมง ในตอนกลับสู่โลกก็กลับด้วยความเร็วสูงยิ่งกว่าขาขึ้น ต้องพบกับความร้อนสูงจนแม้แต่โลหะก็ยังต้องหลอมละลาย วิศวกรรมการบินอวกาศจึงมีความท้าทายอย่างมาก มีอุปสรรคหลายด้านที่ต้องเอาชนะ หากเกิดความผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิด อาจหมายถึงชีวิตมนุษย์ต้องสูญเสียไป
ในเส้นทางของการบุกเบิกการเดินทางสู่อวกาศมีเหล่าผู้กล้าที่ต้องสังเวยชีวิตไปในระหว่างการเดินทางไปแล้วถึง 21 คน คิดเป็น 3.23 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์ที่ได้ขึ้นสู่อวกาศทั้งหมด ถือว่าสูงที่สุดในบรรดาการเดินทางทุกรูปแบบ
ในปี2510 ซึ่งอยู่ในช่วงที่สงครามชิงดวงจันทร์ของฝ่ายโซเวียตและสหรัฐอเมริกากำลังร้อนระอุ ฝ่ายโซเวียตได้ปิดโครงการวอสฮอดและเริ่มดำเนินโครงการโซยุซซึ่งจะเป็นยานที่ใช้ในการพาชาวโซเวียตไปดวงจันทร์ ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ปิดโครงการเจมีนีและเริ่มต้นโครงการอะพอลโลซึ่งจะใช้ในการเดินทางไปดวงจันทร์เช่นกัน
เมื่อวันที่27 มกราคม 2510 สหรัฐอเมริกาดำเนินการทดสอบระบบสื่อสารของมอดูลสั่งการที่จะใช้ในภารกิจอะพอลโล 1 โดยมีลูกเรือสามคนอยู่ในยานด้วย ได้แก่ เวอร์จิล กริสซัม , เอ็ดเวิร์ด ไวต์ และ รอเจอร์ แชฟฟี ระหว่างการทดสอบได้เกิดประกายไฟขึ้นในห้องนักบิน ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ ออกซิเจนบริสุทธิ์ที่อยู่ในยานบวกกับวัสดุในยานที่ติดไฟได้ง่ายทำให้ไฟลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ที่ร้ายที่สุดก็คือ ประตูของยานเป็นชนิดเปิดเข้า เมื่อเกิดเพลิงไหม้ ความดันที่เพิ่มขึ้นจากความร้อนภายในยานก็ดันให้ประตูปิดแน่นยิ่งขึ้น หมดโอกาสที่คนข้างในจะเปิดหนีออกมาได้ และเนื่องจากการทดสอบครั้งนี้ไม่มีการเติมเชื้อเพลิงขับดัน ทางผู้ควบคุมการทดสอบประเมินว่าเป็นการทดสอบที่ไม่มีความเสี่ยงเรื่องเพลิงไหม้ จึงไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับกรณีเพลิงไหม้เอาไว้ เงื่อนไขทั้งหมดจึงกลายเป็นส่วนผสมมรณะที่คร่าชีวิตลูกเรือทั้งสาม
อีกเพียงสี่เดือนต่อมาในวันที่ 24 เมษายน โซเวียตได้ทดสอบการปล่อยยานโซยุซ 1 ยานโซยุซลำแรกนี้ได้รับเกียรติจาก วลาดิมีร์ โคมารอฟ วีรบุรุษของชาติจากภารกิจวอสฮอด 1 มาเป็นลูกเรือเพียงหนึ่งเดียว ยานโซยุซขึ้นสู่อวกาศและโคจรรอบโลกได้สำเร็จ แต่ประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายตั้งแต่อยู่ในวงโคจร ทั้งการกางแผงเซลสุริยะ ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร ระบบวัดความสูง แต่ปัญหาหนักที่สุดเกิดขึ้นในขากลับสู่โลก เมื่อร่มชูชีพของยานไม่กางออก การกลับสู่โลกของโซยุซ 1 จึงเป็นการพุ่งกระแทกพื้น โคมารอฟเสียชีวิตทันที
การสูญเสียอีกครั้งของโซเวียตเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน2514 และเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของโซเวียต ภารกิจในครั้งนั้นเป็นการส่งมนุษย์อวกาศไปปฏิบัติงานบนสถานีซัลยุต 1 ยานโซยุซ 11 ออกเดินทางจากโลกไปเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2514 มนุษย์อวกาศสามคนในยานได้แก่ จีออร์กี โดโบรวอลสกี , วลาดิสลัฟ วอลคอฟ และ วิคตอร์ ปัสซาเยฟ การเดินทางขาขึ้นและภารกิจในสถานีอวกาศประสบความสำเร็จด้วยดี จนกระทั่งถึงขากลับโลก สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากที่ยานสลัดมอดูลโคจรและมอดูลบริการที่หมดประโยชน์แล้วออก วาล์วระบายอากาศในยานได้เปิดเอง ขณะนั้นยานยังอยู่สูงถึง 168 กิโลเมตรซึ่งอยู่นอกชั้นบรรยากาศ อากาศในยานจึงไหลออกยานทั้งหมด ยานลงจอดบนพื้นโลกได้อย่างสมบูรณ์เพราะเป็นระบบอัตโนมัต แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเปิดประตูออก ลูกเรือทั้งสามก็หมดลมหายใจไปแล้ว สาเหตุการตายคือการตกเลือดภายในซึ่งเกิดจากการสูญเสียความดันอย่างเฉียบพลัน
ความตายของลูกเรือในเที่ยวบินโซยุซ11 ถือว่าเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เป็นความตายที่เกิดขึ้นในอวกาศ เพราะเกิดขึ้นที่ระดับเหนือเส้นคาร์มันขึ้นไปมาก ซึ่งเป็นเส้นพรมแดนที่กั้นขอบเขตของบรรยากาศโลกกับอวกาศ ความตายในกรณีอื่นทั้งหมดล้วนแต่เกิดขึ้นในบรรยากาศโลกทั้งสิ้น
ความตายของลูกเรือของโซยุซ11 ทำให้โซเวียตเปลี่ยนแปลงมาตรการความปลอดภัยเสียใหม่ ยานโซยุซถูกออกแบบใหม่เกือบทั้งลำ มนุษย์อวกาศในยานจะต้องสวมชุดอวกาศด้วย ซึ่งแต่ละชุดมีหน่วยจ่ายอากาศสำหรับหายใจเป็นของตัวเอง หากเกิดความเปลี่ยนแปลงความดันในยาน ลูกเรือจะได้ใช้อากาศของชุดแทน มาตรการใหม่นี้ทำให้เที่ยวบินโซยุซในช่วงถัดมาต้องลดจำนวนของลูกเรือเหลือเที่ยวละสองคนแทนสามคน เนื่องจากชุดอวกาศที่ใส่กินที่มากขึ้น
หลังจากศึกชิงดวงจันทร์สิ้นสุดลงพร้อมกับความตึงเครียดของสงครามเย็นก็ค่อยๆ คลี่คลาย โซเวียตมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีสถานีอวกาศ ส่วนสหรัฐอเมริกาก็หันไปเอาดีทางระบบขนส่งอวกาศด้วยโครงการกระสวยอวกาศ โครงการอวกาศของทั้งสองประเทศจึงไม่ได้อยู่ในภายใต้แรงกดดันจากฝ่ายการเมืองมากอย่างที่เคยเป็น นี่อาจเป็นเหตุที่ไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นเลยมาอีกเกือบยี่สิบปีนับจากเหตุการณ์ของโซยุซ 11 แต่แล้วฝันร้ายของการเดินทางสู่อวกาศก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
ในปี2529 กระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์เที่ยวบินเอสทีเอส-51 ได้ออกเดินทางขึ้นสู่อวกาศ เที่ยวบินนี้เป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีครูขึ้นไปสอนหนังสือทางไกลจากอวกาศด้วย นั่นคือ คริสตา แมคคอลีฟฟ์ แต่ครูคริสตาและเพื่อนลูกเรืออีกหกคนไปไม่ถึงอวกาศ หลังจากที่แชลเลนเจอร์ทะยานขึ้นจากพื้นได้เพียง 73 วินาที กระสวยก็ระเบิดกลายเป็นลูกไฟมหึมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่ยานยังสูงจากพื้นไม่มาก ใกล้พอที่ผู้คนนับหมื่นบนพื้นดินที่แหลมแคนาเวอรัลในวันนั้นจะเห็นภาพเหตุการณ์สยดสยองต่อหน้าต่อตา ยังไม่รวมถึงผู้คนอีกนับล้านที่เฝ้ามองการถ่ายทอดสดจากโทรทัศน์ที่บ้าน ภาพที่ติดตาผู้คนทั่วโลกมากที่สุดรองจากภาพการระเบิดก็คือ ภาพสีหน้าของพ่อแม่ของครูคริสตาที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมที่แหลมแคนาเวอรัลในวันนั้นที่ต้องเห็นยานที่ลูกสาวตัวเองนั่งจมอยู่ในลูกไฟต่อหน้าต่อตา
ลูกเรือของเที่ยวบินเอสทีเอส-51แอล ได้แก่ ฟรานซิส ริชาร์ด สกอบี , ไมเคิล เจ. สมิท , โรนัลด์ แมกแนร์ , เอลลิสัน โอนิซูกะ , จูดิท เรสนิก , เกรกอรี จาร์วิส , คริสตา แมคคอลีฟฟ์
อีก17 ปีต่อมา หายนะก็มาเยือนโครงการกระสวยอวกาศอีกครั้ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 กระสวยอวกาศโคลัมเบียเที่ยวบินที่เอสทีเอส-107 กลับมาจากการปฏิบัติภารกิจนาน 16 วันในอวกาศ ขณะที่ยานโคจรกำลังฝ่าบรรยากาศเข้ามายังพื้นโลก ภาพสัญญาณโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสดจากยานแสดงบรรยากาศภายในห้องนักบินที่แสดงสีหน้าเบิกบานของลูกเรือที่กำลังตื่นตากับแสงพลาสมาสีส้มนอกหน้าต่างที่เกิดจากความร้อนสูงของการปะทะบรรยากาศโลก แต่จู่ ๆ ภาพจากการถ่ายทอดจากยานก็หายวับไปพร้อมกับการสื่อสารทางวิทยุกับศูนย์ควบคุมการบิน ขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้คนข้างนอกที่อยู่ใกล้ชายฝั่งตะวันออกก็ได้คำตอบ เมื่อเขาเห็นลูกไฟดวงมหึมาบนท้องฟ้าและแตกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โคลัมเบียและลูกเรือทั้งเจ็ดคนมอดไหม้เป็นผุยผงไปแล้ว
ลูกเรือทั้งเจ็ดได้แก่ริก ดี. ฮัสแบนด์ , วิลเลียม ซี. แมกคูล , เดวิด เอ็ม. บราวน์ , กัลปนา ชวาลา , ไมเคิล พี. แอนเดอร์สัน , ลอเรล บี. คลาร์ก และ อีลาน รามอน
ความสูญเสียกับยานโคลัมเบียเป็นครั้งสุดท้ายที่มีการเสียชีวิตในการเดินทางสู่อวกาศรวมแล้วมีชีวิตคนต้องสูญเสียไปในการเดินทางสู่อวกาศมาแล้วถึง 21 คน
สิ่งที่น่าเสียดายก็คืออุบัติเหตุส่วนใหญ่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทและหลีกเลี่ยงได้ โซยุซ 1 ถูกรีบนำขึ้นท้องฟ้าเพราะต้องการนำฝ่ายสหรัฐอเมริกา แรงกดดันจากฝ่ายการเมืองทำให้โซเวียตต้องรีบส่งโซยุซ 1 ทั้งที่มีรายงานความบกพร่องหลายอย่าง อีกทั้งยังละเลยการทดสอบที่จำเป็น สุดท้ายก็ต้องจ่ายด้วยชีวิตของโคมารอฟ
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแชลเลนเจอร์ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้อย่างง่ายดายเพียงแค่นาซาทำตามคำเตือนของผู้ผลิตโอริงที่จะไม่นำกระสวยขึ้นในภาวะหนาวจัด แต่นาซาเลือกที่จะรักษาหน้า ให้ความสำคัญกับเป้าหมายของภารกิจมากกว่าความปลอดภัยของลูกเรือ บวกกับมั่นใจเกินเหตุ จนยอมเสี่ยงนำกระสวยขึ้น ในวันนั้นอากาศที่ฟลอริดาหนาวจัดผิดปกติ โอริงในภาวะหนาวจัดจะเสื่อมคุณสมบัติ เมื่อมีการจุดจรวดในภาวะเช่นนั้น ทำให้เกิดเชื้อเพลิงรั่วที่รอยต่อที่โคนจรวดเชื้อเพลิงแข็ง ความผิดพลาดนี้ต้องจ่ายถึงเจ็ดชีวิต
กรณีของยานโคลัมเบียอาจซับซ้อนกว่าสาเหตุหลักของหายนะเกิดจากจุดอ่อนในการออกแบบเองที่ยานโคจรต้องเปิดเผยส่วนใต้ยานที่แสนเปราะบาง เปิดโอกาสให้ถูกทำลายเสียหายได้ง่าย การที่กระสวยอวกาศประสบความสำเร็จต่อเนื่องมาหลายเที่ยวบินโดยไม่มีเหตุร้ายแรงก็ถือว่ามีเรื่องโชคช่วยส่วนหนึ่ง ในขณะที่โคลัมเบียขึ้นสู่อวกาศ มีชิ้นส่วนโฟมชิ้นใหญ่ที่เคลือบถังเชื้อเพลิงภายนอกหลุดมากระแทกปีกด้านซ้ายจนมีรอยแตกเป็นรูโหว่ รูรั่วนี้ไม่ก่อปัญหาในขาขึ้น แต่ในขากลับ อากาศร้อนจัดได้รั่วไหลเข้าไปในปีกและทำลายยานจนแหลกสลาย อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะยังไม่ใช่คำสั่งประหารเสียทีเดียว สิ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกเรือต้องจบชีวิตคือการตัดสินใจของนาซา โดยเฉพาะการเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบแผลถูกชน หากผู้บริหารของนาซายอมลดอัตตาลงบ้าง ฟังวิศวกรบ้าง ยอมให้มีการตรวจสอบความเสียหาย วิศวกรก็จะมีโอกาสประเมินสถานการณ์และหาทางแก้ได้ ลูกเรืออาจมีโอกาสได้ซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย หรือแม้แต่การดำเนินภารกิจกู้ชีพโดยกระสวยอวกาศลำอื่นก็ทำได้ แต่นาซาหน้าใหญ่เลือกหนทางอื่น ลูกเรือทั้งเจ็ดจึงต้องกลับบ้านแบบไม่มีลมหายใจ เป็นอีกเจ็ดชีวิตที่ต้องเซ่นสังเวยให้แก่สิ่งที่ผู้สอบสวนเรียกว่า "วัฒนธรรมนาซา"
การเดินทางไปยังอวกาศเป็นการเดินทางที่อันตรายมาก
ในเส้นทางของการบุกเบิกการเดินทางสู่อวกาศ
ในปี
เมื่อวันที่
อีกเพียงสี่เดือนต่อมา
การสูญเสียอีกครั้งของโซเวียตเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน
ความตายของลูกเรือในเที่ยวบินโซยุซ
ความตายของลูกเรือของโซยุซ
หลังจากศึกชิงดวงจันทร์สิ้นสุดลงพร้อมกับความตึงเครียดของสงครามเย็นก็ค่อย
ในปี
ลูกเรือของเที่ยวบินเอสทีเอส-51
อีก
ลูกเรือทั้งเจ็ดได้แก่
ความสูญเสียกับยานโคลัมเบียเป็นครั้งสุดท้ายที่มีการเสียชีวิตในการเดินทางสู่อวกาศ
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแชลเลนเจอร์ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
กรณีของยานโคลัมเบียอาจซับซ้อนกว่า