วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ดูเหมือนจะซับซ้อนกว่าที่นักดาราศาสตร์เคยคาดคิด เมื่อพบว่าดาวฤกษ์ดวงหนึ่งประพฤติตัวต่างไปจากที่เคยเข้าใจกัน
นักสำรวจคณะหนึ่งนำโดย สก็อตต์ แอดัมส์ จากคาลเทคและมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต คริสโตเฟอร์ โคชาเนก , จิล เจอร์กี จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตตและคณะ ได้สำรวจดาวฤกษ์อายุมากจำนวนราวหนึ่งล้านดวงตามดาราจักรใกล้เคียง 27 ดาราจักรโดยใช้กล้องแอลบีทีในแอริโซนา เป็นกล้องโทรทรรศน์คู่ข้างละขนาด 8.4 เมตร โดยหวังว่าจะได้เห็นการเกิดซูเปอร์โนวา
เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลสูงมากใช้เชื้อเพลิงไปจนหมดจะยุบตัวลงจากความโน้มถ่วงของตัวเอง คลื่นกระแทกที่เกิดจากการยุบจะสะท้อนออกมาเป็นการระเบิดที่รุนแรงสว่างไสว เรียกว่า ซูเปอร์โนวา
แรงระเบิดจะสาดเนื้อดาวกระจายออกไปโดยรอบส่วนแก่นดาวที่เหลือรอดจากการระเบิด จะยุบตัวต่อไปกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหากเหลือมวลมากก็จะกลายเป็นหลุมดำ
ไม่ว่าบั้นปลายชีวิตของดาวฤกษ์มวลสูงจะเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำก็จะต้องผ่านการเป็นซูเปอร์โนวาก่อนเสมอ
หรือว่าไม่?
นักสำรวจคณะดังกล่าวพบดาวมวลสูงสิ้นอายุขัยถึง7 ดวงในปี 2559 ในจำนวนนี้ หกดวงได้กลายเป็นซูเปอร์โนวาตามแบบฉบับ เรียกว่า ซูเปอร์โนวาแก่นยุบ แต่อีกดวงหนึ่งกลับดับไปเฉย ๆ โดยไม่ระเบิด
ดาวฤกษ์ดวงนี้มีชื่อว่าเอ็น 6946-บีเอช 1 (N6946-BH1) มีมวล 25 มวลสุริยะ อยู่ห่างออกไป 22 ล้านปีแสงในดาราจักรเอ็นจีซี 6946 หรือที่มีชื่อว่า ดาราจักรดอกไม้ไฟ ชื่อของดาราจักรมาจากการที่มีซูเปอร์โนวาเกิดขึ้นบ่อยมาก
จากการติดตามสำรวจอย่างต่อเนื่องและการศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากคลังข้อมูลของกล้องแอลบีทีพบว่าดาวดวงนี้มีความสว่างค่อนข้างคงที่เป็นเวลากว่าสิบปีก่อนที่จะสว่างขึ้นอย่างกระทันหันในปี 2552 โดยมีกำลังส่องสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ราวหนึ่งล้านเท่าและคงความสว่างอย่างนั้นเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ดับวับไป การสำรวจสนับสนุนโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลก็ยืนยันว่าดาวดวงนี้หายไปแล้วจริง
ระดับความสว่างที่เพิ่มขึ้นอาจฟังดูเหมือนจะเป็นซูเปอร์โนวาแต่ความจริงแล้วไม่ใช่การระเบิดซูเปอร์โนวาให้ความสว่างได้รุนแรงกว่านี้อย่างเทียบกันไม่ติด นี่จึงไม่ใช่ซูเปอร์โนวา
แต่กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์พบว่ายังมีรังสีอินฟราเรดแผ่ออกมาจากบริเวณที่ดาวดวงนั้นเคยอยู่นักวิทยาศาสตร์คณะนี้สันนิษฐานว่ารังสีนี้อาจแผ่มาจากเศษซากของดาวเองกำลังไหลกลับลงสู่แก่นกลางที่กลายเป็นหลุมดำไปแล้ว
นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างแบบจำลองการเกิดซูเปอร์โนวาด้วยคอมพิวเตอร์มาหลายแบบเพื่อศึกษากระบวนการที่เกิดขึ้นพบว่าในดาวฤกษ์มวลสูงที่มีมวลแน่นมาก คลื่นกระแทกที่สะท้อนกลับจากแก่นดาวถูกต้านโดยสสารที่ไหลลงสู่แกนกลาง ทำให้ดาวไม่ระเบิดออก ปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ว่าดาวดวงไหนจะระเบิดหรือไม่ ดูเหมือนจะขึ้นกับความหนาแน่นของชั้นเนื้อดาวที่อยู่ถัดจากแก่นเหล็กขึ้นมา
อย่างไรก็ตามถึงขณะนี้ยังตัดความเป็นไปได้อื่นไม่ได้ทั้งหมด บางทีดาวนั้นอาจยังอยู่ แต่ถูกห้อมล้อมด้วยชั้นฝุ่นหนาทึบจนแสงลอดออกมาไม่ได้ รังสีอินฟราเรดที่สปิตเซอร์ตรวจวัดได้อาจแผ่ออกมาจากฝุ่นที่ล้อมอยู่นั่นเอง
นักสำรวจคณะนี้มีแผนจะติดตามดาวหรือซากดาวดวงนี้ต่อไปด้วยกล้องฮับเบิลและกล้องสปิตเซอร์โดยสำรวจในย่านอินฟราเรดหากดาวกลับสว่างขึ้นมาอีก ก็แสดงว่าดาวยังคงอยู่ เหตุที่แสงหายไปเป็นเพราะม่านฝุ่นหนาทึบบดบังไปจริง
แต่ถ้าหากรังสีอินฟราเรดหรี่ลงไปเรื่อยๆ ก็เป็นไปได้ว่าดาวได้กลายไปเป็นหลุมดำไปแล้ว เป็นการยืนยันว่าดาวฤกษ์มวลสูงสามารถ "ตายลัด" ไปเป็นหลุมดำได้โดยตรงจริง ๆ นี่อาจตอบคำถามได้ว่าเหตุใดนักดาราศาสตร์แทบไม่เคยเห็นซูเปอร์โนวาที่เกิดจากดาวฤกษ์มวลสูงมาก ๆ เลย และยังจะอธิบายว่าหลุมดำมวลสูงมากระดับหลายสิบเท่าของดวงอาทิตย์ที่ไลโกค้นพบเกิดขึ้นมาอย่างไรได้ด้วย
นักสำรวจคณะหนึ่ง
เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลสูงมากใช้เชื้อเพลิงไปจนหมด
แรงระเบิดจะสาดเนื้อดาวกระจายออกไปโดยรอบ
ไม่ว่าบั้นปลายชีวิตของดาวฤกษ์มวลสูงจะเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ
หรือว่าไม่?
นักสำรวจคณะดังกล่าวพบดาวมวลสูงสิ้นอายุขัยถึง
ภาพถ่ายท้องฟ้าบริเวณเดียวกันสองภาพต่างเวลากัน ถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ภาพซ้ายถ่ายในปี 2551 ยังปรากฏดาวเอ็น 6946-บีเอช 1 อยู่ ดาวดวงนี้มีมวลมากถึง 25 มวลสุริยะ ภาพขวาถ่ายในปี 2558 ดาวดวงนั้นกลับหายไป เหลือเพียงรังสีอินฟราเรดเลือนลาง นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่าดาวดวงนั้นได้กลายไปเป็นหลุมดำโดยไม่ผ่านการระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา
(จาก NASA / ESA / C. Kochanek (OSU))
ดาวฤกษ์ดวงนี้มีชื่อว่า
จากการติดตามสำรวจอย่างต่อเนื่องและการศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากคลังข้อมูลของกล้องแอลบีทีพบว่า
ระดับความสว่างที่เพิ่มขึ้นอาจฟังดูเหมือนจะเป็นซูเปอร์โนวาแต่ความจริงแล้วไม่ใช่
แต่กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์พบว่ายังมีรังสีอินฟราเรดแผ่ออกมาจากบริเวณที่ดาวดวงนั้นเคยอยู่
นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างแบบจำลองการเกิดซูเปอร์โนวาด้วยคอมพิวเตอร์มาหลายแบบเพื่อศึกษากระบวนการที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม
นักสำรวจคณะนี้มีแผนจะติดตามดาวหรือซากดาวดวงนี้ต่อไปด้วยกล้องฮับเบิลและกล้องสปิตเซอร์โดยสำรวจในย่านอินฟราเรด
แต่ถ้าหากรังสีอินฟราเรดหรี่ลงไปเรื่อย