เมื่อ 17 ปีก่อน นักดาราศาสตร์ได้สำรวจดาว HD 141569A ด้วยดาวเทียมไอราส พบว่าดาวดวงนี้มีการแผ่รังสีอินฟราเรดมากผิดปรกติ คาดกันว่ารังสีอินฟราเรดส่วนเกินนี้เกิดจากฝุ่นก๊าซในจานพอกพูนมวล (accreation disc) ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างดาวเคราะห์ล้อมรอบดาวอยู่ ดังนั้นดาวดวงนี้จึงเป็นที่คาดหมายว่าน่าจะมีดาวเคราะห์เป็นบริวารอยู่ด้วยนับแต่นั้นมา
ต่อมาในปี2542 กล้องนิกมอสที่ติดอยู่บนกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ได้ถ่ายภาพดาว HD 141569A อีกครั้ง และพบว่าดาวดวงนี้มีวงแหวนล้อมรอบ วงแหวนแบ่งออกเป็นสองชั้นโดยมีแถบมืดอยู่ระหว่างกลางคล้ายกับวงแหวนดาวเสาร์ นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่าแถบสีดำนี้เป็นบริเวณที่ฝุ่นเบาบางกว่าส่วนอื่น เนื่องจากเป็นทางผ่านของดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ในวงแหวน
เมื่อวันที่21 กรกฎาคม 2545 กล้องเอซีเอสบนกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้ถ่ายภาพดาวดวงนี้อีกครั้งซึ่งเป็นปฏิบัติการในโครงการสำรวจจานล้อมรอบดาวลำดับหลัก ภาพใหม่ที่ได้แสดงวงแหวนสองชั้นดังที่เคยถ่ายได้ เป็นการยืนยันหลักฐานเดิมว่าดาวฤกษ์ดวงนี้อาจมีดาวเคราะห์เป็นบริวารอยู่จริง
นอกจากกล้องเอซีเอสจะถ่ายภาพวงแหวนสองชั้นได้แล้วยังพบลวดลายรูปเกลียวบนวงแหวนนั้นด้วยและมีแขนสองแขนเหยียดยาวออกไปคล้ายกับดาราจักรแบบก้นหอย แขนข้างหนึ่งเหยียดไปทางดาวคู่คู่หนึ่ง ชื่อ HD 141569BC ซึ่งนักดาราศาสตร์เชื่อว่าดาวทั้งสามดวงนี้เป็นระบบดาวเดียวกัน นอกจากนี้นักดาราศาสตร์ยังพบว่าดาว HD 141569A ไม่ได้อยู่ตำแหน่งศูนย์กลางของวงแหวนพอดี แต่เยื้องศูนย์ไปประมาณ 25 หน่วยดาราศาสตร์ มาร์ก แคลมพิน จากสถาบันกล้องโทรทรรศน์อวกาศเชื่อว่าโครงสร้างที่แปลกประหลาดบนวงแหวนรวมทั้งการเยื้องศูนย์เกิดขึ้นจากอันตรกิริยาที่เกิดจากดาวคู่มากกว่าที่จะเกิดจากดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่
อีกหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนว่าดาวดวงนี้มีดาวเคราะห์โคจรรอบอยู่คือภาพถ่ายในย่านความถี่อินฟราเรด ซึ่งแสดงว่าที่ระยะห่างจากดาวฤกษ์ 4.5 พันล้านกิโลเมตรภายในดาวมีฝุ่นจางกว่าส่วนอื่น ซึ่งอาจเกิดจากดาวเคราะห์ที่โคจรที่ระยะนี้ได้กวาดเอาฝุ่นไป
ต่อมาในปี
เมื่อวันที่
นอกจากกล้องเอซีเอสจะถ่ายภาพวงแหวนสองชั้นได้แล้วยังพบลวดลายรูปเกลียวบนวงแหวนนั้นด้วย
อีกหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนว่าดาวดวงนี้มีดาวเคราะห์โคจรรอบอยู่คือ