ดาวหางนีโอไวส์ - C/2020 F3 (NEOWISE)
ดาวหางนีโอไวส์ - C/2020 F3 (NEOWISE) เป็นดาวหางที่ค้นพบเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563 โดยค้นพบจากภาพถ่ายในโครงการค้นหาดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก (NEOWISE ย่อมาจาก Near-Earth Object Wide-field Infrared Survey Explorer) ขณะค้นพบ ดาวหางสว่างที่โชติมาตร 17 รายงานการสังเกตการณ์ล่าสุดจากพื้นโลกเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ก่อนดาวหางจะหายไปจากท้องฟ้าเวลาหัวค่ำ พบว่าดาวหางสว่างที่โชติมาตร 6.8 หลังจากนั้นดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากจนไม่สามารถสังเกตได้
วันที่22-28 มิถุนายน 2563 ดาวหางนีโอไวส์ปรากฏในภาพถ่ายจากยานโซโฮ (SOHO) ซึ่งเป็นยานสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์และสภาพแวดล้อมรอบดวงอาทิตย์ มีรายงานว่าในช่วงดังกล่าว ดาวหางมีความสว่างเพิ่มขึ้นจากราวโชติมาตร 4 ไปที่ 2 ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีกว่าที่คาดไว้ ก่อนที่ดาวหางจะปรากฏในภาพถ่ายจากยานโซโฮ มีความกังวลว่าดาวหางนีโอไวส์อาจเผชิญชะตากรรมเดียวกับดาวหางสองดวงก่อนหน้านี้ ที่แตกสลายและมีความสว่างลดลงมาก แต่ในภาพถ่ายจากยานโซโฮแสดงให้เห็นว่าดาวหางยังคงอยู่ในสภาพดี ไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าดาวหางกำลังแตกสลาย มีความสว่างมากกว่าที่คาดไว้ และสว่างเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้มีความหวังว่าจะสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าเมื่อดาวหางเคลื่อนห่างจากดวงอาทิตย์มากพอให้สังเกตได้บนท้องฟ้าเวลากลางคืน
วันที่28 มิถุนายน เป็นวันสุดท้ายที่ดาวหางปรากฏในภาพถ่ายจากยานโซโฮ หลังจากนั้น ต้นเดือนกรกฎาคม 2563 เริ่มมีรายงานการสังเกตเห็นดาวหางบนท้องฟ้าเวลาเช้ามืดจากหลายประเทศที่อยู่ในละติจูดสูงของซีกโลกเหนือ ทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป และญี่ปุ่น โดยดาวหางปรากฏท่ามกลางแสงเงินแสงทองของท้องฟ้ายามรุ่ง ต้องอาศัยกล้องสองตาและกล้องโทรทรรศน์ และทราบตำแหน่งบนท้องฟ้าที่แน่นอน ดาวหางนีโอไวส์ผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ที่ระยะห่าง 0.295 หน่วยดาราศาสตร์ (44 ล้านกิโลเมตร) และใกล้โลกที่สุดในวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ที่ระยะห่าง 0.692 หน่วยดาราศาสตร์ (103 ล้านกิโลเมตร)
หลังจากดาวหางผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดการสังเกตดาวหางนีโอไวส์จากประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ช่วง ช่วงแรกอยู่บนท้องฟ้าเวลาเช้ามืด หากอยู่ในที่ท้องฟ้าเปิด ซึ่งหาได้ยากในฤดูนี้ของประเทศไทย มีโอกาสสังเกตได้ด้วยกล้องสองตาเป็นช่วงสั้น ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 4 ถึง 10 กรกฎาคม 2563 คาดว่าดาวหางอาจสว่างที่โชติมาตร 0.7 ถึง 1.4 ซึ่งถือว่าสว่างมากพอสมควรสำหรับดาวหาง แต่การสังเกตการณ์ทำได้ยาก มีความท้าทายสูง อุปสรรคคือสภาพท้องฟ้าในช่วงนี้ที่มีเมฆมากในทุกภาคของประเทศไทย เราไม่สามารถสังเกตดาวหางได้ในเวลาที่ท้องฟ้ามืดสนิท ต้องรอให้ดาวหางขึ้นเหนือขอบฟ้าก่อน ซึ่งจะเป็นเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้ว เมื่อเริ่มแสงสนธยาทางการ (ดวงอาทิตย์อยู่ใต้ขอบฟ้าเป็นมุม 6°) ดาวหางจะมีมุมเงยเหนือขอบฟ้าไม่เกิน 10° (ขนาดกำปั้นเมื่อกำมือแล้วเหยียดแขนออกไปข้างหน้าให้สุด) แม้ไม่มีอะไรบดบังที่ขอบฟ้า แต่หากมีเมฆหมอกอยู่ใกล้ขอบฟ้า จะไม่สามารถสังเกตได้
ดาวหางอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจำเป็นต้องหาสถานที่ซึ่งท้องฟ้าด้านนี้เปิดโล่ง หรือสังเกตจากสถานที่สูง สภาพอากาศปลอดโปร่ง ดาวหางมีแนวโน้มจะสว่างพอสมควร แต่การอยู่ใกล้ขอบฟ้า ทำให้ความสว่างลดลงได้ราว 1-2 อันดับ จำเป็นต้องใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ ช่วงนั้นดาวหางอยู่ในกลุ่มดาวสารถี ให้สังเกตตำแหน่งของดาวหางเทียบกับดาวศุกร์และดาวคาเพลลาในกลุ่มดาวสารถี (ดูแผนที่ประกอบ) หลังจากขึ้นเหนือขอบฟ้าแล้ว จะมีเวลาสังเกตดาวหางได้ไม่นานก่อนที่ความสว่างของท้องฟ้ายามเช้าจะกลบแสงของดาวหาง
หลังจากวันที่10 กรกฎาคม ดาวหางนีโอไวส์จะมีมุมเงยต่ำมากจนสังเกตได้ยาก จากนั้นขึ้นและตกในเวลาใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ ทำให้ไม่สามารถสังเกตได้จากประเทศไทย ครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคม 2563 ดาวหางจะกลับมาปรากฏบนท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกในเวลาหัวค่ำ คาดว่าช่วงแรกอาจสว่างที่โชติมาตร 3 แล้วจางลงอย่างรวดเร็ว
ประเทศไทยอาจเริ่มสังเกตดาวหางนีโอไวส์บนท้องฟ้าเวลาหัวค่ำได้ตั้งแต่ราววันที่18 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป วันนั้นดาวหางอาจสว่างที่โชติมาตร 2.7 อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้า เมื่อสิ้นสุดแสงสนธยาเดินเรือ อันเป็นจังหวะที่ดวงอาทิตย์อยู่ใต้เส้นขอบฟ้าเป็นมุม 12° (บริเวณกรุงเทพฯ ตรงกับเวลาประมาณ 19:40 น.) ดาวหางอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีมุมเงยสูงจากขอบฟ้าประมาณ 8° อาจจำเป็นต้องใช้กล้องสองตาช่วยกวาดหาบนท้องฟ้า หลังจากวันนี้ ดาวหางจะเคลื่อนสูงขึ้นเมื่อเทียบตำแหน่งในเวลาเดียวกันของแต่ละวัน แต่ความสว่างมีแนวโน้มลดลง
วันที่23 กรกฎาคม 2563 เป็นวันที่ดาวหางนีโอไวส์ผ่านจุดใกล้โลกที่สุด วันนั้นคาดว่าอาจสว่างราวโชติมาตร 3.7 จางกว่าความสว่างโดยเฉลี่ยของดาวเรียงเด่น 7 ดวงในกลุ่มดาวหมีใหญ่ ที่คนไทยเรียกว่าดาวจระเข้ หากสามารถมองเห็นดาวสว่างในกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้อย่างชัดเจนก็มีโอกาสจะเห็นดาวหางได้ ให้มองหาดาวหางโดยการดูตำแหน่งดาวหางเทียบกับดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เคียง สังเกตได้ว่าดาวหางมีลักษณะแตกต่างจากดาวฤกษ์ ตรงที่หัวดาวหางฝ้ามัว และอาจมองเห็นหางฝุ่นที่สะท้อนแสงอาทิตย์ ส่วนหางแก๊สที่มีสีน้ำเงินจางกว่าหางฝุ่นมาก โดยทั่วไปจะเห็นได้ในภาพถ่ายที่เปิดหน้ากล้องรับแสงเป็นเวลานานเท่านั้น
หลังจากวันที่23 กรกฎาคม แสงจันทร์จะสว่างรบกวนมากขึ้นทุกวัน อาจทำให้สังเกตดาวหางได้ยากขึ้น ประกอบกับความสว่างของดาวหางที่ลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้นช่วงวันที่ 18-23 กรกฎาคม 2563 จึงเป็นช่วงที่น่าจะสังเกตดาวหางนีโอไวส์ได้ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ดาวหางสว่างพอจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าสำหรับสถานที่ซึ่งท้องฟ้าเปิด และไม่มีแสงไฟหรือฝุ่นควันรบกวน (แต่ไม่สว่างนัก ต้องทราบตำแหน่งที่แน่นอนของดาวหาง) สำหรับผู้ที่มีกล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ ยังคงสามารถติดตามดาวหางได้ต่อไปจนกว่าดาวหางจะจางลงจนเกินขอบเขตการมองเห็นของทัศนูปกรณ์ที่มีอยู่
ผลการพยากรณ์โดยศูนย์ดาวเคราะห์น้อยของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลคาดว่าดาวหางนีโอไวส์จะจางลงเรื่อย ๆ สิ้นเดือนกรกฎาคมจางลงไปที่โชติมาตร 5.3 วันที่ 7 สิงหาคม อยู่ที่โชติมาตร 6.6 ซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้แล้ว แต่ยังคงสังเกตได้ง่ายด้วยกล้องสองตา วันที่ 15 สิงหาคม จางลงไปที่โชติมาตร 7.9 ทั้งนี้การพยากรณ์ความสว่างมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้ ให้ใช้เป็นแนวทางเท่านั้น
●รู้จักดาวหาง
●ดาวหางและดาวเคราะห์น้อย
วันที่
วันที่
การสังเกตดาวหางในประเทศไทย
หลังจากดาวหางผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
ดาวหางอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
หลังจากวันที่
ประเทศไทยอาจเริ่มสังเกตดาวหางนีโอไวส์บนท้องฟ้าเวลาหัวค่ำได้ตั้งแต่ราววันที่
วันที่
หลังจากวันที่
ผลการพยากรณ์โดยศูนย์ดาวเคราะห์น้อยของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล
ดูเพิ่ม
●
●