ดาวเบเทลจุส หรือดาวแอลฟานายพราน เป็นดาวที่เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุดดวงหนึ่งบนท้องฟ้า มีความน่าสนใจหลายด้าน เป็นดาวที่สว่างเป็นอันดับ 10 บนท้องฟ้า มีสีแดงโดดเด่นสะดุดตา ในมุมมองของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ดาวดวงนี้โดดเด่นเพราะเป็นดาวประเภทที่เรียกว่าดาวยักษ์ใหญ่แดง (red supergiant) ซึ่งเกือบเป็นระยะสุดท้ายของวงจรชีวิตของดาวฤกษ์ เป็นดาวที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของดาวที่พร้อมจะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวาในเร็ว ๆ นี้ แต่หลายคนก็จดจำดาวดวงนี้ได้จากชื่อที่แปลกหูอ่านยาก
นอกจากชื่อจะแปลกเรียกยากแล้วพฤติกรรมบางอย่างก็ยังแปลกอีกด้วย
นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสในออสตินนำโดย เจ. เคร็ก วีเลอร์ พบว่า ดาวยักษ์ใหญ่ดวงนี้หมุนรอบตัวเองเร็วมาก มีความเร็วที่เส้นศูนย์สูตรถึง 15 กิโลเมตรต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าที่ควรจะเป็นถึง 150 เท่า
วีเลอร์อธิบายว่าเมื่อดาวฤกษ์ขยายใหญ่ขึ้นเป็นดาวยักษ์แดง จะหมุนรอบตัวเองช้าลงตามหลักของการสงวนโมเมนตัม ทำนองเดียวกับที่นักสเก็ตน้ำแข็งที่หมุนรอบตัวเองช้าลงเมื่อเหยียดแขนกางออก
แล้วเหตุใดเบเทลจุสไม่เป็นเช่นนั้น?
ในการหาคำอธิบายวีเลอร์ตั้งทฤษฎีว่า เบเทลจุสอาจไม่ใช่ดาวฤกษ์เดี่ยวตั้งแต่ต้น แต่เคยมีดาวสหายดวงหนึ่งโคจรรอบดาวเบเทลจุสด้วยรัศมีวงโคจรใกล้เคียงกับรัศมีของดาวเบเทลจุสในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อดาวเบเทลจุสขยายขนาดขึ้นเป็นดาวยักษ์แดง ก็กลืนดาวสหายนี้ไป
"เมื่อดาวสหายถูกกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดาวเบเทลจุสแล้วจะถ่ายเทโมเมนตัมเชิงมุมจากการโคจรเดิมของดาวไปยังเนื้อดาวชั้นนอกของดาวเบเทลจุส ทำให้ดาวเบเทลจุสหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น" วีเลอร์อธิบาย
วีเลอร์ประเมินว่าดาวสหายของดาวเบเทลจุสน่าจะมีมวลใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์จึงจะเพียงพอที่จะทำให้ดาวมีความเร็วในการหมุนรอบตัวเองดังที่เป็นในปัจจุบันนี้ได้
ทฤษฎีนี้มีหลักฐานสนับสนุนการกลืนดาวสหายของดาวเบเทลจุสไม่ใช่กระบวนการเงียบ ๆ ไร้ร่องรอย อันตรกิริยาระหว่างดาวฤกษ์ทั้งสองทำให้ดาวเบเทลจุสพ่นสสารจำนวนหนึ่งออกสู่อวกาศ หากทราบความเร็วของสสารที่พ่นออกมาจากดาวเบเทลจุส นักดาราศาสตร์ย่อมคำนวณได้ว่าก้อนสสารที่พ่นออกมานั้นอยู่ห่างจากดาวเท่าใดในปัจจุบัน
ย้อนหลังไปในปี2555 นักดาราศาสตร์จากเบลเยียมคนหนึ่งได้ศึกษาดาวเบเทลจุสโดยถ่ายภาพในย่านความถี่อินฟราเรดด้วยกล้องเฮอร์เชล ภาพถ่ายแสดงสิ่งที่คล้ายกำแพงโค้งที่ด้านหนึ่งของดาวเบเทลจุส นักดาราศาสตร์ได้ตั้งสมมุติฐานไปต่าง ๆ นานาถึงที่มาของสิ่งนั้น บ้างอธิบายว่ากำแพงนั้นคือคลื่นกระแทกโค้ง (bow shock) ที่เกิดขึ้นจากบรรยากาศของดาวเบเทลจุสผลักดันสสารระหว่างดาวขณะที่ดาวเคลื่อนที่ไปในอวกาศรอบดาราจักร แต่วีเลอร์มองว่า กำแพงนี้เป็นผลจากความอลหม่านบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อราว 100,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นเวลาที่ดาวเบเทลจุสกำลังขยายขนาดเป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง ซึ่งก็อาจจะเป็นการกลืนดาวนั่นเอง
นับว่าทฤษฎีกลืนดาวของวีเลอร์อธิบายได้ทั้งสาเหตุของอัตราการหมุนรอบตัวเองที่เร็วผิดปกติและที่มาของกำแพงแก๊สข้างดาวเบเทลจุส
นอกจากชื่อจะแปลกเรียกยากแล้ว
นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสในออสติน
วีเลอร์อธิบายว่า
แล้วเหตุใดเบเทลจุสไม่เป็นเช่นนั้น?
ในการหาคำอธิบาย
"เมื่อดาวสหายถูกกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดาวเบเทลจุสแล้ว
วีเลอร์ประเมินว่า
ทฤษฎีนี้มีหลักฐานสนับสนุน
ย้อนหลังไปในปี
นับว่าทฤษฎีกลืนดาวของวีเลอร์อธิบายได้ทั้งสาเหตุของอัตราการหมุนรอบตัวเองที่เร็วผิดปกติและที่มาของกำแพงแก๊สข้างดาวเบเทลจุส