เมื่อเวลา 17:51 น. ของวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย จรวดฟัลคอน 9 ได้ทะยานขึ้นจากฐานปล่อย 40 ที่แหลมแคนาเวอรัลในรัฐฟลอริดา สัมภาระของจรวดในครั้งนี้คือ ดาวเทียมที่มีชื่อว่า เทสส์ ขององค์การนาซา
เทสส์(TESS--Transiting Exoplanet Survey Satellite) นับได้ว่าเป็นทายาทของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ เพราะมีภารกิจคือค้นหาดาวเคราะห์ต่างระบบเหมือนกัน มีหลักการค้นหาแบบเดียวกัน และขึ้นมาประจำการในช่วงเวลาที่เคปเลอร์กำลังจะปิดภารกิจลงพอดี
การค้นหาดาวเคราะห์ต่างระบบเป็นการสำรวจอวกาศแขนงหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น นับจากที่มีการค้นพบดาวเคราะห์ของดาวฤกษ์ดวงอื่นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2538
ดาวเคราะห์ต่างระบบดวงแรกที่ค้นพบเป็นบริวารของดาว51 ม้าบินบี (51 Peg B) โดยค้นพบจากการสังเกตการเคลื่อนที่ไปมาของดาวฤกษ์ ซึ่งเกิดจากการกระทำของดาวเคราะห์บริวาร แม้ดาวเคราะห์จะมีแสงหรี่จนมองไม่เห็น แต่ก็ส่งผลด้านความโน้มถ่วงต่อดาวฤกษ์แม่ให้สังเกตได้ การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวไปมาของดาวฤกษ์ทำให้คำนวณหาคาบโคจรและมวลของดาวเคราะห์บริวารได้ วิธีนี้เรียกว่า การหาดาวเคราะห์โดยวัดความเร็วแนวรัศมี เป็นวิธีที่ช่วยให้ค้นพบดาวเคราะห์ดวงต่อมาอีกหลายดวง
ต่อมานักดาราศาสตร์ได้คิดวิธีค้นหาดาวเคราะห์เพิ่มขึ้นอีกวิธีหนึ่งเรียกว่า การสำรวจการผ่านหน้า วิธีนี้ กล้องจะบันทึกความสว่างของดาวอย่างต่อเนื่อง แล้วคอยสังเกตหาการหรี่แสงลงเป็นเวลาสั้น ๆ ซ้ำกันและเว้นระยะเท่ากัน ซึ่งจะแปลความหมายได้ว่าเกิดจากดาวเคราะห์บริวารของดาวฤกษ์ดวงนั้นมาโคจรมาผ่านหน้า การวิเคราะห์ระยะเวลาที่แสงดาวหรี่ลงไปทำให้ทราบวงโคจรของดาวเคราะห์ได้ ส่วนขนาดของดาวเคราะห์ก็คำนวณได้จากปริมาณของแสงที่ลดลงไป นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่จะทราบถึงองค์ประกอบในบรรยากาศของดาวเคราะห์ที่มาบังด้วย โดยวิเคราะห์จากสเปกตรัมของแสงดาวขณะที่มีการบัง เพราะแสงจากดาวฤกษ์บางส่วนส่องผ่านบรรยากาศของดาวเคราะห์มา
การสำรวจการผ่านหน้านี้เองที่เป็นวิธีที่กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ใช้และประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ (เมษายน 2560) เคปเลอร์ค้นพบดาวเคราะห์ต่างระบบที่ยืนยันได้แล้ว 3,708 ดวง และยังมีที่รอยืนยันอีกหลายพันดวง เคปเลอร์พบดาวเคราะห์หลากหลายรูปแบบเกินกว่าที่ใครจะเคยจินตนาการ ไม่เพียงแค่ดาวยักษ์แก๊ส ดาวเคราะห์หิน ดาวยักษ์น้ำแข็งแบบที่มีในระบบสุริยะของเราเท่านั้น แต่ยังมีดาวเคราะห์ประเภทพฤหัสร้อน ซึ่งคล้ายดาวเคราะห์ยักษ์แก๊สแต่โคจรรอบดาวฤกษ์แม่ด้วยวงโคจรที่แคบกว่าวงโคจรของดาวพุธ มีทั้งดาวประเภทซูเปอร์โลกซึ่งหมายถึงดาวเคราะห์หินคล้ายโลกแต่มีมวลมากกว่าโลก ไม่เพียงเท่านั้น นักดาราศาสตร์ยังพบดาวหาง วงแหวนของดาวเคราะห์ และแม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์อีกด้วย
ย้อนหลังไปเมื่อวัน14 กรกฎาคม 2555 ล้อปฏิกิริยาซึ่งเป็นอุปกรณ์ควบคุมการหันทิศทางของกล้องตัวหนึ่งของเคปเลอร์เกิดเสียไป ต่อมาตัวที่สองก็เสียไปอีกในวันที่ 11 พฤษภาคม 2556 ทำให้เหลือล้อปฏิกิริยาเพียงสองตัวซึ่งไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจ
ภารกิจเคปเลอร์น่าจะต้องปิดฉากเสียตั้งแต่บัดนั้นแต่วิศวกรของเคปเลอร์กลับมีไม้เด็ด ด้วยการพลิกแพลงใช้ประโยชน์จากแรงดันจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์มาช่วยในการรักษาเสถียรภาพของกล้อง ภารกิจเคปเลอร์จึงดำเนินต่อมาได้แม้จะต้องเปลี่ยนพื้นที่เป้าหมายไป ภารกิจภาคสองที่มีชื่อว่า เค 2 ได้ค้นพบดาวเคราะห์ต่างระบบที่ยืนยันแล้วเพิ่มขึ้นอีก 307 ดวง และยังมีที่รอการยืนยันอีก 480 ดวง
แต่เวลาของเคปเลอร์กำลังจะหมดลงเนื่องจากเชื้อเพลงภายในยานเหลือน้อยเต็มที เชื้อเพลิงนี้จำเป็นอย่างมากในการหันเหตัวยานเพื่อให้สายอากาศหันมายังโลกขณะที่ส่งข้อมูลกลับมายังภาคพื้นดิน คาดว่าเคปเลอร์จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้อีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ก่อนจะถูกคำสั่งปิดเครื่องถาวร
ในความเหมือนระหว่างเทสส์กับเคปเลอร์ก็มีความแตกต่างในหลายประการ
เคปเลอร์สำรวจท้องฟ้าด้วยกล้องเดี่ยวที่มีกระจกปฐมภูมิขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง1.4 เมตร มุมภาพกว้าง 12 องศา ส่วนกล้องเทสส์ประกอบด้วยกล้องโทรทรรศน์เหมือนกัน 4 กล้อง แต่ละกล้องมีซีซีดีความละเอียด 16.8 ล้านพิกเซล คลุมพื้นที่บนท้องฟ้ากว้าง 24x24 องศา
เคปเลอร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบ372.5 วัน ซึ่งยาวกว่าของโลกเล็กน้อย ดังนั้นเคปเลอร์จึงถอยห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ ด้วยอัตราปีละ 25 ล้านกิโลเมตร ส่วนเทสส์โคจรรอบโลกด้วยวงโคจรที่รีมาก มีคาบ 13.7 วัน ซึ่งหมายความว่าพ้องกับคาบของดวงจันทร์ด้วยอัตรา 1:2 ณ จุดที่ใกล้โลกที่สุดเทสส์จะอยู่ห่างจากพื้นโลก 35,785 กิโลเมตร ช่วงที่ยานเข้ามาใกล้โลกนี้ยานจะส่งถ่ายข้อมูลกลับมายังโลก ที่จุดไกลโลกที่สุดอยู่ห่างออกไป 373,300 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ไกลจนพ้นเขตของแถบรังสีแวนอัลเลน
ความแตกต่างระหว่างนักล่าดาวเคราะห์ทั้งสองที่สำคัญที่สุดคือการเลือกเป้าหมายของการค้นหา
กล้องเคปเลอร์ค้นหาดาวเคราะห์จากพื้นที่เพียงหย่อมเดียวบนท้องฟ้าใกล้กับกลุ่มดาวหงส์ มีความกว้าง 12 องศา ส่วนเทสส์มีพื้นที่สำรวจมากกว่าถึง 400 เท่า ครอบคลุมพื้นที่ท้องฟ้ามากถึง 85 เปอร์เซ็นต์
ไม่เพียงแต่เรื่องพื้นที่ค้นหาเท่านั้นประเภทของดาวที่จะค้นหาดาวเคราะห์ก็ต่างกันด้วย กล้องเคปเลอร์เก็บดาวทุกดวงในกรอบภาพมาศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นดาวที่อยู่ไกลและหรี่มาก จนยากแก่การติดตามสำรวจเพิ่มเติมโดยกล้องอื่น แต่สำหรับเทสส์จะพุ่งเป้าไปที่ดาวที่มีความสว่างมากเท่านั้น มีเป้าหมายเป็นดาวสว่างที่อยู่ไม่ไกลจากโลกไม่เกิน 330 ปีแสง เหตุที่เทสส์ต้องจำกัดเป้าหมายอยู่ที่ดาวสว่างที่อยู่ใกล้ก็เพื่อหวังผลจากการสำรวจติดตามโดยกล้องโทรทรรศน์แห่งอื่น โดยเฉพาะการศึกษาในด้านสเปกตรัมที่จะช่วยบอกถึงสภาพทางและองค์ประกอบทางเคมีของบรรยากาศในดาวเคราะห์เหล่านั้น ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงความเอื้อต่อการดำรงชีวิต
แม้เทสส์จะตั้งข้อจำกัดของระยะทางและความสว่างของดาวที่จะศึกษาไว้แต่ดาวเป้าหมายของเทสส์ยังมีมากถึง 500,000 ดวงเลยทีเดียว นักดาราศาสตร์คาดว่าตลอดอายุภารกิจสองปีของเทสส์จะพบดาวเคราะห์ต่างระบบเพิ่มขึ้นอีกหลายพันดวง และในจำนวนนี้น่าจะมีดวงที่มีขนาดเท่าโลกหรือใหญ่กว่าโลกนิดหน่อยราว 500 ดวง
เทสส์
การค้นหาดาวเคราะห์ต่างระบบ
ดาวเคราะห์ต่างระบบดวงแรกที่ค้นพบเป็นบริวารของดาว
ต่อมานักดาราศาสตร์ได้คิดวิธีค้นหาดาวเคราะห์เพิ่มขึ้นอีกวิธีหนึ่ง
การสำรวจการผ่านหน้านี้เองที่เป็นวิธีที่กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ใช้และประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ย้อนหลังไปเมื่อวัน
ภารกิจเคปเลอร์น่าจะต้องปิดฉากเสียตั้งแต่บัดนั้น
แต่เวลาของเคปเลอร์กำลังจะหมดลง
ในความเหมือนระหว่างเทสส์กับเคปเลอร์
เคปเลอร์สำรวจท้องฟ้าด้วยกล้องเดี่ยวที่มีกระจกปฐมภูมิขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
เคปเลอร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบ
ความแตกต่างระหว่างนักล่าดาวเคราะห์ทั้งสองที่สำคัญที่สุดคือ
กล้องเคปเลอร์ค้นหาดาวเคราะห์จากพื้นที่เพียงหย่อมเดียวบนท้องฟ้า
ไม่เพียงแต่เรื่องพื้นที่ค้นหาเท่านั้น
แม้เทสส์จะตั้งข้อจำกัดของระยะทางและความสว่างของดาวที่จะศึกษาไว้