ดาวอังคารมีดวงจันทร์เป็นบริวารสองดวง ดวงหนึ่งชื่อ โฟบอส อีกดวงหนึ่งชื่อ ดีมอส
ครั้งแรกที่ชาวโลกได้เห็นโฉมดวงจันทร์โฟบอสชัดๆ คือเมื่อยานไวกิงและยานมาริเนอร์ถ่ายภาพจากระยะใกล้กลับมาเมื่อสี่สิบปีก่อน ภาพนั้นต้องทำให้นักดาราศาสตร์ต้องงุนงง เมื่อพบว่าดวงจันทร์ดวงนี้มีพื้นผิวเต็มไปด้วยร่องยาวหลายเส้นพาดยาวไปเกือบทั่วดวง ซึ่งก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจนว่าร่องยาวเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
บางทฤษฎีอธิบายว่าอาจเกิดจากมีวัตถุขนาดใหญ่พุ่งชนดาวอังคาร แล้วเศษซากที่กระเด็นมาจากการชนปลิวมาถึงดวงจันทร์ดวงนี้ จนถากและเซาะพื้นผิวให้เป็นร่อง บางทฤษฎีก็อธิบายว่าร่องนี้เป็นผลการที่ดวงจันทร์โฟบอสกำลังถูกแรงโน้มถ่วงจากดาวอังคารฉีกออก ร่องยาวที่เห็นแสดงถึงโครงสร้างของดวงจันทร์นี้ที่กำลังใกล้ถึงจุดแตกหัก บางทฤษฎีก็เชื่อว่าร่องนี้ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลุมสติกนีย์ซึ่งเป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่บนโฟบอส แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ1970 ลีโอเนล วิลสัน กับ จิม เฮด เชื่อว่าการเกิดร่องยาวต้องเกี่ยวข้องกับการเกิดหลุมสติกนีย์ โดยอธิบายว่า เมื่อโฟบอสถูกวัตถุอื่นพุ่งชนจนทำให้เกิดหลุมสติกนีย์ ก้อนหินที่กระเด็นออกมาส่วนหนึ่งตกกลับลงมาแล้วกลิ้งต่อไปบนพื้นผิว การกลิ้งได้กดให้พื้นผิวยุบเป็นร่องยาวดังที่ปรากฏ
ดวงจันทร์โฟบอสมีขนาดเล็กมากด้านที่ยาวที่สุดยาวเพียง 27 กิโลเมตร ส่วนหลุมสติกนีย์มีความกว้างถึง 9 กิโลเมตร การชนที่ทำให้เกิดหลุมนี้ย่อมทำให้เกิดเศษก้อนหินนับจำนวนมากกระเด็นออกจากจุดกระทบ ทฤษฎีหินกลิ้งจึงนับว่าน่ารับฟัง แต่ก็ยังมีปัญหา เช่น ร่องยาวบางร่องไม่ได้ชี้ตรงไปที่หลุมสติกนีย์โดยตรง บางร่องพาดทับกันเองซึ่งแสดงว่าร่องเหล่านั้นเกิดขึ้นต่างเวลากัน ร่องยาวอีกจำนวนหนึ่งยังลากยาวเข้าไปถึงก้นหลุมสติกนีย์เองเลยทีเดียว แสดงว่าหลุมสติกนีย์ต้องเกิดขึ้นก่อนร่องยาว นอกจากนี้บนโฟบอสยังมีพื้นที่บริเวณหนึ่งที่ไม่พบร่องยาวนี้เลย
เพื่อเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีนี้เฮด และ เคนเนท แรมสลีย์ นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์จากมหาวิทยาลัยบราวน์จึงได้สร้างแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าการชนทำให้เกิดร่องยาวนี้จริงหรือไม่ โดยใส่ตัวแปรทั้งรูปร่างและสภาพภูมิประเทศของโฟบอส ข้อมูลด้านสนามความโน้มถ่วง การหมุนรอบตัวเองและการโคจรรอบดาวอังคาร
แบบจำลองให้ผลลัพท์ออกมาน่าพอใจมีก้อนหินที่กลิ้งออกมามีแนวโน้มที่จะกลิ้งเป็นทางขนานกันเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งร่องยาวบนโฟบอสก็มีลักษณะเช่นนั้นจริง นอกจากนี้ยังพบว่า หินที่กลิ้งออกมาจากหลุมสติกนีย์จะกลิ้งได้ไกลมาก เนื่องจากความโน้มถ่วงต่ำ บางก้อนพบว่าถึงกับกลิ้งรอบดวงเลยทีเดียว โดยใช้เวลาในการกลิ้งเพียงไม่กี่สิบนาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงก็กลิ้งได้รอบดวง การที่พบว่าหินกลิ้งบนโฟบอสได้ไกลรอบดวงจึงอธิบายได้ว่าเหตุใดร่องยาวบางร่องมีแนวไม่ชี้ไปยังหลุมสติกนีย์โดยตรง นั่นเพราะร่องเหล่านั้นเกิดขึ้นจากหินที่กลิ้งรอบดวงจันทร์กลับเข้ามา เส้นทางของการกลิ้งจึงเบี่ยงเบนไปบ้างหลังจากที่ต้องกลิ้งมาไกล การเบี่ยงเบนของเส้นทางกลิ้งจึงทำให้มีโอกาสที่รอยจะซ้อนทับกัน และบางรอยก็กลิ้งกลับมาลงที่ตำแหน่งเดิมที่กลายเป็นหลุมสติกนีย์ไปแล้ว
"ส่วนบริเวณบนโฟบอสที่ไม่ปรากฏร่องยาวเลยนั้นคือบริเวณที่มีลักษณะเป็นหุบหรือแอ่งที่มีขอบชันและนูนแบบจำลองแสดงว่าก้อนหินที่กลิ้งมาถึงขอบหุบก็จะลอยข้ามหุบนั้นไปแล้วตกลงที่อีกขอบหุบอีกด้านหนึ่ง" แรมสลีย์อธิบาย
แบบจำลองนี้อธิบายลักษณะของร่องยาวบนโฟบอสได้หลายข้อจึงเป็นการสนับสนุนทฤษฎีหินกลิ้งของเฮดได้เป็นอย่างดี แรมสลีย์ถึงกับเชื่อว่า หินกลิ้งน่าจะเป็นสาเหตุของร่องยาวบนโฟบอสทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเลยทีเดียว
ครั้งแรกที่ชาวโลกได้เห็นโฉมดวงจันทร์โฟบอสชัด
บางทฤษฎีอธิบายว่า
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ
ดวงจันทร์โฟบอสมีขนาดเล็กมาก
เพื่อเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีนี้
แบบจำลองให้ผลลัพท์ออกมาน่าพอใจ
"ส่วนบริเวณบนโฟบอสที่ไม่ปรากฏร่องยาวเลยนั้นคือบริเวณที่มีลักษณะเป็นหุบหรือแอ่งที่มีขอบชันและนูน
แบบจำลองนี้อธิบายลักษณะของร่องยาวบนโฟบอสได้หลายข้อ