จันทรุปราคาคืนวันมาฆบูชา
หลังเที่ยงคืนของคืนวันมาฆบูชาซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม ย่างเข้าสู่เช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2550 ดวงจันทร์จากที่เคยเห็นสว่างเต็มดวงก่อนหน้านั้นจะถูกเงามืดของโลกเข้าบดบัง ทำให้ดวงจันทร์แหว่งและมืดคล้ำลง เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาหรือเรียกอีกอย่างว่าจันทรคราสและราหูอมจันทร์
จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่เกิดได้ในเฉพาะคืนวันเพ็ญและในจังหวะเวลาที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเงาโลกเงาที่เกิดขึ้นนี้มีอยู่สองชนิด ได้แก่ เงามืดและเงามัว จันทรุปราคาจึงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาบางส่วน และจันทรุปราคาเงามัว
จันทรุปราคาเต็มดวงเกิดเมื่อดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดหมดทั้งดวงดวงจันทร์จึงมืดคล้ำลงมากแต่ไม่มืดสนิท ส่วนใหญ่มีสีส้มแดงหรือน้ำตาล จันทรุปราคาบางส่วนเกิดเมื่อดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดเพียงบางส่วนจึงเห็นดวงจันทร์แหว่ง จันทรุปราคาเงามัวเกิดเมื่อดวงจันทร์เข้าไปในเงามัวเท่านั้น ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดผ่านเข้าไปในเงามืด จึงเห็นดวงจันทร์สว่างเต็มดวงอยู่อย่างนั้น ที่ต่างไปจากเดิมคือดวงจันทร์จะลดความสว่างลงเล็กน้อย ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยเป็นที่สนใจมากเท่าสองประเภทแรก
จันทรุปราคาครั้งที่จะเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้หากยึดตามหลักการเปลี่ยนวันในเวลาเที่ยงคืนก็จะถือได้ว่าเกิดในวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2550 ดวงจันทร์เริ่มเข้าไปในเงามัวของโลกตั้งแต่เวลา 3.18 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงจันทร์ปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้าทิศตะวันตกในกลุ่มดาวสิงโต กึ่งกลางระหว่างขอบฟ้ากับจุดเหนือศีรษะโดยมีดาวเสาร์อยู่ต่ำลงไป ห่างกันประมาณขนาดของฝ่ามือเมื่อกางมือของเราออกแล้วเหยียดแขนออกไปให้สุด อย่างไรก็ตามเรายังจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นกับดวงจันทร์จนกระทั่งเวลาประมาณ 4.10 น. ขอบดวงจันทร์ด้านซ้ายมือค่อนไปทางด้านบนจะเริ่มคล้ำลงจนสังเกตเห็นได้ ดวงจันทร์มืดสลัวลงทีละน้อยจนเริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วนในเวลา 4.30 น. ซึ่งจะเห็นขอบดวงจันทร์ด้านนี้เริ่มแหว่ง
ก่อนตี5 ครึ่งเล็กน้อย ดาวเสาร์จะตกลับขอบฟ้าขณะที่ดวงจันทร์แหว่งไปเกินกว่าครึ่งดวง เงามืดของโลกเข้าบังดวงจันทร์ลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเวลา 5.44 น. เป็นเวลาที่ดวงจันทร์ทั้งดวงเคลื่อนเข้าไปในเงามืดของโลกและเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง แสงอาทิตย์ที่หักเหผ่านบรรยากาศโลกไปตกที่พื้นผิวดวงจันทร์ทำให้ดวงจันทร์ไม่มืดสนิทอย่างที่ควรจะเป็น แต่มีสีน้ำตาล สีแดงอิฐ หรือสีส้ม ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากนั้นแสงเงินแสงทองจะเริ่มจับขอบฟ้า ท้องฟ้าจึงค่อย ๆ สว่างขึ้นในขณะที่ดวงจันทร์ยังอยู่ในเงามืดของโลก
เวลา6.21 น. ดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดลึกที่สุดและใกล้จะตกลับขอบฟ้าแล้ว ขณะนี้ท้องฟ้าจะสว่างเป็นสีฟ้า ที่กรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์จะขึ้นเหนือขอบฟ้าทิศตะวันออกในเวลา 6.33 น. ส่วนดวงจันทร์จะตกทางทิศตะวันตกในเวลา 6.37 น.
เวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงจันทร์ตกในจังหวัดอื่นๆ จะต่างไปจากนี้ เช่น เชียงใหม่ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.42 น. ดวงจันทร์ตกเวลา 6.46 น. ภูเก็ตดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.39 น. ดวงจันทร์ตกเวลา 6.43 น. ส่วนที่อุบลราชธานีดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.16 น. ดวงจันทร์ตกเวลา 6.20 น.
จุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งสำหรับจันทรุปราคาครั้งนี้ก็คือดวงจันทร์ถูกเงาโลกบังหมดทั้งดวงในขณะที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากกลางคืนไปสู่กลางวัน จึงเป็นไปได้ว่าขณะที่ดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดลึกที่สุดนี้ ท้องฟ้าจะสว่างมากจนเราอาจไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้หรือเห็นได้เพียงลาง ๆ ให้ลองสังเกตดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าและด้วยทัศนูปกรณ์ที่มีอยู่ เช่น กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลา 6.00 - 6.40 น. และเนื่องจากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ดวงจันทร์กำลังจะตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ดังนั้นหากต้องการสังเกตให้ชัดเจนควรหาสถานที่ที่ไม่มีสิ่งใดบดบังขอบฟ้าทิศดังกล่าว หรือหากเป็นไปได้อาจสังเกตจากตึกสูง
นอกจากประเทศไทยแล้วบางส่วนของทุกทวีปในโลกมีโอกาสเห็นจันทรุปราคาครั้งนี้ด้วยพร้อมๆ กัน ตัวอย่างเช่น ทวีปยุโรปและแอฟริกาเห็นขณะเริ่มเกิดปรากฏการณ์ในค่ำวันที่ 3 มีนาคมตามเวลาท้องถิ่น อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้เห็นได้ในค่ำวันเดียวกันแต่เป็นช่วงท้ายของปรากฏการณ์ขณะดวงจันทร์ขึ้นทางทิศตะวันออก ส่วนในเอเชียตะวันออก ตอนกลางของจีน และตะวันตกของออสเตรเลียจะเห็นได้ในเช้ามืดวันที่ 4 มีนาคมขณะดวงจันทร์ใกล้จะตกเช่นเดียวกับประเทศไทย
จันทรุปราคาครั้งนี้นับเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งแรกในรอบ3 ปีสำหรับคนไทยในประเทศ และเป็นอุปราคาครั้งแรกจากทั้งหมด 4 ครั้งที่เกิดในปีนี้ อีก 15 วันถัดไป เช้าวันจันทร์ที่ 19 มีนาคมจะเกิดสุริยุปราคาบางส่วนเห็นได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย และหากท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆฝนเป็นอุปสรรคเราจะมีโอกาสเห็นจันทรุปราคาในช่วงเวลาหัวค่ำของวันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2550
ความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแบ่งได้ตามมาตราดองชง (Danjon's scale) ตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่เป็นผู้ริเริ่มกำหนดมาตรานี้ เรียกย่อ ๆ ว่าค่าแอล (L) มีค่าจาก 0 ถึง 4 และสามารถประมาณค่าเป็นทศนิยมได้ สีและความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับศูนย์กลางเงา ปริมาณเมฆและฝุ่นละอองในบรรยากาศโลก โดยมีเกณฑ์กำหนดดังที่แสดงในตาราง ถ้าจะให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุด อาจทำการประมาณค่าแอลทุก ๆ 10-20 นาที นับตั้งแต่ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง
อย่างไรก็ดีจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ประเทศไทยเห็นในช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้าและท้องฟ้าเริ่มสว่าง การประมาณค่าแอลอาจทำได้ยากกว่าปกติหรือได้ค่าที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่เกิดได้ในเฉพาะคืนวันเพ็ญและในจังหวะเวลาที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเงาโลก
จันทรุปราคาเต็มดวงเกิดเมื่อดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดหมดทั้งดวง
จันทรุปราคาครั้งที่จะเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้
ก่อนตี
เวลา
เวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงจันทร์ตกในจังหวัดอื่น
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงยของดวงจันทร์ |
---|---|---|
1. | 3.18 | 47° |
2. | 4.30 | 29° |
3. | 5.44 | 12° |
ดวงอาทิตย์ขึ้น | 6.16 | - |
ดวงจันทร์ตก | 6.20 | - |
4. | 6.21 | 3° |
ดวงอาทิตย์ขึ้น | 6.33 | - |
ดวงจันทร์ตก | 6.37 | - |
ดวงอาทิตย์ขึ้น | 6.39 | - |
ดวงอาทิตย์ขึ้น | 6.42 | - |
ดวงจันทร์ตก | 6.43 | - |
ดวงจันทร์ตก | 6.46 | - |
5. | 6.58 | -6° |
6. | 8.11 | -23° |
7. | 9.24 | -40° |
จุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งสำหรับจันทรุปราคาครั้งนี้ก็คือ
นอกจากประเทศไทยแล้วบางส่วนของทุกทวีปในโลกมีโอกาสเห็นจันทรุปราคาครั้งนี้ด้วยพร้อม
จันทรุปราคาครั้งนี้นับเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งแรกในรอบ
ประมาณค่าความสว่างของดวงจันทร์
เราสามารถคะเนความสว่างและสีของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงได้โดยการสังเกตดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าL | ความสว่างและสีของดวงจันทร์ |
---|---|
0 | ดวงจันทร์มืดมาก |
1 | ดวงจันทร์มืด |
2 | ดวงจันทร์มีสีแดงเข้ม |
3 | ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐ |
4 | ดวงจันทร์มีสีทองแดงหรือสีส้ม |
อย่างไรก็ดี