ได้มีการค้นพบเศษอุกกาบาตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งเข้าชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน อันเป็นเหตุให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไป
ตามรายงานซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารNature ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2541 นักธรณีวิทยา แฟรงก์ ไคต์ ได้ค้นพบก้อนหินก้อนหนึ่งฝังตัวอยู่ภายในชั้นดินภายใต้มหาสมุทรแปซิฟิก เชื่อว่าก้อนหินก้อนนี้เป็นฟอสซิลอุกกาบาตที่มีอายุถึง 65 ล้านปี
ไคต์กล่าวว่าลูกอุกกาบาตก้อนนี้น่าจะเป็นชิ้นส่วนหลงเหลือของอุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนโลกในยุคครีเตเชียสเมื่อ 65 ล้านปีก่อนที่บริเวณคาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์ Chicxulub ผลจากการชนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมจนทำให้ไดโนเสาร์และสัตว์อื่น ๆ อีกหลายชนิดต้องสูญพันธุ์ไป
ก้อนหินที่พบในครั้งนี้มีขนาดเล็กเพียง2.5 มิลลิเมตรเท่านั้น อยู่ในชั้นดินเหนียวที่มีอิริเดียมเป็นจำนวนมาก ธาตุอิริเดียมเป็นธาตุที่พบได้ทั่วไปกับอุกกาบาตทั่วไป นักธรณีวิทยาได้พบชั้นดินที่มีส่วนผสมอิริเดียมหลายแห่งทั่วโลก และชั้นดินเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคเดียวกัน คือเมื่อ 65 ล้านปีก่อน เรียกว่าชั้น K/T (K/T boundary) เชื่อว่าการเกิดชั้น K/T ต้องเกี่ยวข้องกับการชนของอุกกาบาตครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่าวัตถุที่พุ่งเข้าชนนั้นเป็นดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางไคต์กล่าวว่า ชิ้นส่วนก้อนหินที่พบนี้ มีลักษณะของคอนไดรต์ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของดาวเคราะห์น้อย ไม่ใช่เป็นก้อนวัตถุร่วนอย่างชิ้นส่วนของดาวหาง ดังนั้น วัตถุนั้นจะต้องเป็นดาวเคราะห์น้อย ไม่ใช่ดาวหาง
นอกจากนี้การที่มีเศษของอุกกาบาตหลงเหลืออยู่เป็นการแสดงว่า วัตถุที่พุ่งเข้าชนนั้นเคลื่อนที่ชนด้วยอัตราเร็วสัมพัทธ์ค่อนข้างต่ำ สิ่งนี้เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนว่า วัตถุที่พุ่งเข้าชนนี้เป็นดาวเคราะห์น้อย เพราะว่าดาวหางมักพุ่งเข้าชนโลกด้วยอัตราเร็วที่สูงกว่าดาวเคราะห์น้อยอยู่แล้ว เนื่องจากวงโคจรแตกต่างกัน
แต่นั่นต้องหมายความว่าก้อนหินก้อนนี้เป็นเศษของวัตถุมรณะลูกนั้นจริง ๆ
ตามรายงานซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร
ไคต์กล่าวว่า
ก้อนหินที่พบในครั้งนี้มีขนาดเล็กเพียง
ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่าวัตถุที่พุ่งเข้าชนนั้นเป็นดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหาง
นอกจากนี้
แต่นั่นต้องหมายความว่า