เมื่อปี 2557 ยานฮะยะบุซะ 2 ขององค์การอวกาศญี่ปุ่นหรือแจ็กซา ได้ออกเดินทางจากโลกไปโดยมีเป้าหมายคือดาวเคราะห์น้อยริวงุ ยานได้ไปถึงเป้าหมายในเดือนมิถุนายน 2561 และได้ศึกษาดาวเคราะห์น้อยดวงนี้อย่างใกล้ชิดเป็นเวลากว่าปี ยานได้ปล่อยยานลูกลงไปสำรวจบนพื้นผิวถึงสี่ลำ หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมาในปี 2563 พร้อมกับตัวอย่างเนื้อดาวเคราะห์น้อยเพื่อกลับมาวิเคราะห์บนโลก
นักดาราศาสตร์ได้พบความลับเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มากมายแต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับริวงุก็คือ การที่พบว่า ริวงุอาจไม่ใช่ดาวเคราะห์น้อยตั้งแต่กำเนิด
ริวงุมีโครงสร้างแบบกองหิน(rubble pile) หมายความว่าประกอบด้วยก้อนหินขนาดเล็กจำนวนมากมาเกาะกันอย่างหลวม ๆ แทนที่จะเป็นก้อนหินตัน มีรูปทรงแบบลูกข่างซึ่งเป็นผลจากการหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว
ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปอธิบายว่าริวงุเกิดขึ้นมาจากวัตถุขนาดใหญ่ชนกันจนแตกกระจายต่อมาเศษดาวที่กระจายออกไปบางส่วนนั้นกลับมาเกาะกันเป็นดวงอีกครั้งหนึ่ง
นับจากที่ริวงุถูกค้นพบในปี2542 นักดาราศาสตร์ก็รู้จักวัตถุดวงนี้ในฐานะของดาวเคราะห์น้อยมาตลอด แต่ยานฮะยะบุซะ 2 พบสิ่งหนึ่งที่ขัดกับความเป็นดาวเคราะห์น้อย วัตถุดวงนี้มีสารอินทรีย์เป็นส่วนประกอบอยู่มาก
รศ.ฮิโตะชิ มิอุระ จากมหาวิทยาลัยนาโงะยะซิตี้ อธิบายว่า หากริวงุเกิดจากเศษวัสดุจากการชนที่รุนแรงมาเกาะกันเป็นก้อนจริง ก็ไม่ควรจะมีสารอินทรีย์มากขนาดนี้ จึงมีแนวคิดว่า บางทีริวงุอาจเคยเป็นดาวหางมาก่อน
ดาวหางมีถิ่นกำเนิดที่หนาวเย็นเพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากจึงประกอบด้วยหินและสสารที่สลายตัวได้ง่ายเป็นจำนวนมาก สสารที่สลายตัวได้ง่ายในที่นี้อาจเป็นน้ำแข็ง คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง แอมโมเนีย มีเทน และคาร์บอนมอนอกไซด์ เมื่อดาวหางเข้ามายังระบบสุริยะชั้นใน ความร้อนจากดวงอาทิตย์จะทำให้สสารเหล่านี้ระเหิดออกไป
หลังจากโคจรผ่านเข้าใกล้ดวงอาทิตย์หลายครั้งเข้าสสารสลายตัวง่ายก็จะหมดไป เหลือเพียงส่วนที่เป็นหินดูเหมือนดาวเคราะห์น้อย
สมมุติฐานซากดาวหางอาจอธิบายได้ว่าเหตุใดริวงุจึงมีสารอินทรีย์อยู่มากสารอินทรีย์ที่พบมีทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ เมทานอล คาร์บอนีลซัลไฟด์ ฟอร์มัลดีไฮด์ กรดฟอร์มิก มีเทน และไซยาเนต นักดาราศาสตร์เชื่อว่าสสารเหล่านี้มีต้นกำเนิดอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มาก ไม่น่าจะมีในดาวเคราะห์น้อยซึ่งมีแหล่งกำเนิดอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์
อีกหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนสมมุติฐานนี้คือการที่ริวงุหมุนรอบตัวเองเร็วมาก ซึ่งอธิบายได้ว่า เมื่อน้ำแข็งในนิวเคลียสระเหิดออกไป นิวเคลียสก็จะเสียมวลไปทีละน้อยพร้อมกับหดเล็กลง ซึ่งทำให้หมุนรอบตัวเองเร็วขึ้นตามหลักการสงวนโมเมนตัม
คณะของมิอุระได้สร้างแบบจำลองขึ้นมาหลายแบบเพื่อพิสูจน์ว่าต้องใช้เวลาเท่าใดที่จะทำให้ริวงุเสียสารอินทรีย์ไปจนหมดจนสภาพเปลี่ยนจากดาวหางกลายเป็นดาวเคราะห์น้อย พร้อมกับคำนวณหาอัตราหมุนรอบตัวเองที่เร็วขึ้นจนมีรูปร่างเป็นดังเช่นปัจจุบันได้ ผลที่ออกมาแสดงว่า เมื่อแรกเริ่มริวงุจะเป็นดาวหางอยู่ได้ราว 10,000 ปี ก่อนที่จะหมดเชื้อไปกลายเป็นดาวเคราะห์น้อย
ไม่เพียงแต่ริวงุเท่านั้นที่อาจจะเป็นซากดาวหางดาวเคราะห์น้อยที่มีโครงสร้างแบบกองหินก็อาจเป็นซากดาวหางเหมือนกัน นักดาราศาสตร์เรียกวัตถุประเภทนี้ว่า วัตถุเปลี่ยนผ่านดาวหางเป็นดาวเคราะห์น้อย (Comet Asteroid Transition (CAT))
ดาวเคราะห์น้อยอีกดวงหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายริวงุมากก็คือดาวเคราะห์น้อยเบนนู ซึ่งมียานโอซิริส-เร็กซ์ของนาซาไปสำรวจและเก็บตัวอย่าง ยานลำนี้จะกลับมาและนำตัวอย่างที่เก็บได้มายังโลกในปี 2566 การวิเคราะห์ตัวอย่างในห้องทดลองอาจเผยว่าเบนนูจะเป็นซากดาวหางแบบริวงุด้วยหรือไม่
นักดาราศาสตร์ได้พบความลับเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มากมาย
ริวงุมีโครงสร้างแบบกองหิน
ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปอธิบายว่าริวงุเกิดขึ้นมาจากวัตถุขนาดใหญ่ชนกันจนแตกกระจาย
นับจากที่ริวงุถูกค้นพบในปี
รศ.
ดาวหางมีถิ่นกำเนิดที่หนาวเย็นเพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มาก
หลังจากโคจรผ่านเข้าใกล้ดวงอาทิตย์หลายครั้งเข้า
สมมุติฐานซากดาวหางอาจอธิบายได้ว่าเหตุใดริวงุจึงมีสารอินทรีย์อยู่มาก
อีกหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนสมมุติฐานนี้คือ
คณะของมิอุระได้สร้างแบบจำลองขึ้นมาหลายแบบเพื่อพิสูจน์ว่าต้องใช้เวลาเท่าใดที่จะทำให้ริวงุเสียสารอินทรีย์ไปจนหมด
ไม่เพียงแต่ริวงุเท่านั้นที่อาจจะเป็นซากดาวหาง
ดาวเคราะห์น้อยอีกดวงหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายริวงุมากก็คือ