เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 ยานฮะยะบุซะ 2 ขององค์การอวกาศญี่ปุ่นหรือแจ็กซา (JAXA) ได้เดินทางไปถึงดาวเคราะห์น้อยริวงุ ยานลำนี้มีภารกิจหลักคือเก็บตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อยกลับมายังโลก นอกจากนี้ยังมีการปล่อยยานลูกลงไปสำรวจถึงพื้นผิวสี่ลำ
ภารกิจนี้ได้เลือกริวงุเป็นวัตถุเป้าหมายเนื่องจากดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีองค์ประกอบเป็นคาร์บอน นักดาราศาสตร์คาดว่าดาวเคราะห์น้อยประเภทนี้เป็นตัวแทนของสสารดั้งเดิมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่การกำเนิดระบบสุริยะ
ภารกิจการปล่อยยานลูกและเก็บตัวอย่างจากริวงุของยานฮะยะบุซะ2 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหลือเพียงการเดินทางกลับมายังโลก ซึ่งมีกำหนดจะกลับมาถึงโลกในเดือนธันวาคม 2563 ขณะนี้นักดาราศาสตร์จึงต่างตั้งตารอคอยให้ถึงวันที่จะได้สัมผัสกับตัวอย่างหินจากริวงุและนำไปศึกษาวิเคราะห์ในห้องทดลอง ซึ่งคาดว่าจะช่วยไขความเร้นลับเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยดวงนี้และของระบบสุริยะด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ตัวอย่างหินจากริวงุจะยังไม่กลับมาถึงโลก ข้อมูลเบื้องต้นจากฮะยะบุซะ 2 ที่ส่งกลับมาจนถึงขณะนี้ก็ทำให้นักดาราศาสตร์ต้องตะลึงแล้ว
หนึ่งในยานลูกที่ยานฮะยะบุซะ2 ปล่อยลงไปบนริวงุคือ มัสคอต (MASCOT--Mobile Asteroid Surface Scout) ซึ่งพัฒนาโดยศูนย์การบินและอวกาศเยอรมัน ร่วมกับองค์การอวกาศฝรั่งเศส มัสคอตเป็นยานรูปสี่เหลี่ยมขนาดเท่ากล่องรองเท้า ไม่มีล้อหรือขา เคลื่อนที่โดยการกระดอนและพลิกตัวเองโดยอาศัยล้อตุนกำลังที่อยู่ภายใน ภารกิจของมัสคอตที่สั้นเพียง 17 ชั่วโมงคือ สำรวจโครงสร้าง การกระจาย และลักษณะพื้นผิวของหินในระดับพิสัยเล็ก
ภาพถ่ายระยะใกล้จากมัสคอตแสดงให้เห็นหินสองชนิดปะปนกันทั้งสองชนิดมีสีคล้ำ สะท้อนแสงได้เพียง 4.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งใกล้เคียงกับถ่านหุงข้าว ชนิดหนึ่งมีสีเข้มกว่ามีผิวขรุขระตะปุ่มตะป่ำเหมือนดอกกะหล่ำ อีกชนิดหนึ่งสีซีดกว่าเล็กน้อย มีผิวเรียบและมีขอบหยักคม จากภาพที่ปรากฏรวมถึงค่าที่วัดได้จากเครื่องมืออื่นแสดงว่า ริวงุมีโครงสร้างแบบ "กองหิน" ซึ่งหมายถึงประกอบด้วยหินก้อนเล็กมาเกาะอยู่ด้วยกันอย่างหลวม ๆ เหมือนไข่กบ
นอกจากนี้เนื้อหินยังมีจุดสว่างเล็กๆ กระจายอยู่ทั่ว ซึ่งดูคล้ายกับที่พบในอุกกาบาตชนิดหายากที่พบบนโลกชนิดหนึ่ง เรียกว่า อุกกาบาตหินเนื้อเม็ดชนิดคาร์บอน (carbonaceous chondrite) อุกกาบาตชนิดนี้นับเป็นหินที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดชนิดหนึ่งในระบบสุริยะ และเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการสร้างวัตถุรุ่นแรกที่เป็นบริวารดวงอาทิตย์ วัตถุประเภทนี้จึงมีความสำคัญต่อนักดาราศาสตร์เพราะมันเก็บงำความลับของการกำเนิดระบบสุริยะเอาไว้ที่ไม่อาจหาได้จากบนโลก
ฮะยะบุซะพบว่าดาวเคราะห์น้อยริวงุมีความหนาแน่นเฉลี่ยประมาณ1.2 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งแน่นกว่าน้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และการที่ริวงุประกอบด้วยหินต่างกันสองชนิดอยู่ด้วยกัน จึงเป็นไปได้ว่าภายในริวงุย่อมพรุนไปด้วยโพรงน้อยใหญ่ นั่นแสดงว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีสภาพเปราะบางอย่างมาก
ราล์ฟยัวมันน์ หัวหน้าภารกิจของมัสคอต เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการกำเนิดของริวงุไว้สองทาง
ทฤษฎีแรกอธิบายว่าริวงุเกิดจากวัตถุสองดวงที่ประกอบด้วยวัสดุต่างชนิดกันพุ่งชนกันจนแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นแรงโน้มถ่วงร่วมทำให้เศษวัสดุเหล่านั้นกลับมาเกาะกันเป็นดวงอีกครั้งวัตถุดวงใหม่จึงประกอบด้วยหินสองชนิดที่คละเคล้าปะปนกัน อีกทฤษฎีหนึ่งคือ ริวงุอาจเป็นเศษที่หลงเหลือของวัตถุดวงเดียว แต่มีแก่นกลางที่มีอุณหภูมิและความดันต่างกัน จึงทำให้เกิดหินสองชนิดขึ้นมา
นอกจากนี้ยังพบว่าบนริวงุไม่มีฝุ่นอยุ่เลยเช่นเดียวกับดาวเคราะห์น้อยอิโตะกะวะที่ยานฮะยะบุซะลำแรกเคยไปสำรวจมาแล้ว ซึ่งนับเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจไม่น้อย เพราะดาวเคราะห์น้อยย่อมผ่านการถูกชนกระหน่ำโดยจุลอุกกาบาตครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดเวลานับพันล้านปี ซึ่งกระบวนการนี้ย่อมสร้างฝุ่นจำนวนมากบนดาวเคราะห์น้อย แล้วเหตุใดจึงไม่พบฝุ่นเลย
คำอธิบายหนึ่งคือฝุ่นที่เกิดขึ้นอาจไหลลงไปเบื้องลึกผ่านตามร่องโพรง หรือไม่ก็กระเด็นหายไปในอวกาศเพราะดาวเคราะห์น้อยมีความโน้มถ่วงต่ำมาก เพียงประมาณหนึ่งในหกสิบของโลกเท่านั้น
ริวงุมีวงโคจรใกล้วงโคจรของโลกจึงนับเป็นดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกดวงหนึ่ง นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่แจ็กซาเลือกเป็นเป้าหมายของภารกิจ แม้ริวงุเองจะไม่มีแนวโน้มจะชนโลก แต่การศึกษาดาวเคราะห์ประเภทนี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์รู้วิธีที่จะรับมือกับดาวเคราะห์น้อยประเภทเดียวกันดวงอื่นที่อาจชนโลกในอนาคตได้
"หากริวงุหรือวัตถุคล้ายๆ กันจะเข้ามาชนโลก และหากเราต้องการที่จะเบี่ยงทิศทางของวัตถุดวงนี้เพื่อให้โลกปลอดภัยจากการถูกชน จะต้องทำอย่างระวังอย่างที่สุด เพราะหากมีการกระทบรุนแรงเกินไป ดาวเคราะห์น้อยที่มีมวลร่วมห้าร้อยล้านตันก็จะแตกออกเป็นเสี่ยง ผลก็คือกลายเป็นกลุ่มดาวเคราะห์น้อยที่หนักลูกละหลายตันที่ยังคงพุ่งใส่โลกเหมือนเดิม" ยัวมันน์อธิบาย
ยานฮะยะบุซะ2 พร้อมตัวอย่างที่เก็บมาได้ มีกำหนดจะกลับมาถึงโลกในเดือนธันวาคม 2563
ภารกิจนี้ได้เลือกริวงุเป็นวัตถุเป้าหมาย
ภารกิจการปล่อยยานลูกและเก็บตัวอย่างจากริวงุของยานฮะยะบุซะ
อย่างไรก็ตาม
หนึ่งในยานลูกที่ยานฮะยะบุซะ
ภาพถ่ายระยะใกล้จากมัสคอตแสดงให้เห็นหินสองชนิดปะปนกัน
นอกจากนี้เนื้อหินยังมีจุดสว่างเล็ก
ฮะยะบุซะพบว่าดาวเคราะห์น้อยริวงุมีความหนาแน่นเฉลี่ยประมาณ
ราล์ฟ
ทฤษฎีแรกอธิบายว่า
นอกจากนี้ยังพบว่าบนริวงุไม่มีฝุ่นอยุ่เลย
คำอธิบายหนึ่งคือ
ริวงุมีวงโคจรใกล้วงโคจรของโลก
"หากริวงุหรือวัตถุคล้าย
ยานฮะยะบุซะ