จันทรุปราคาในวันลอยกระทง 8 พฤศจิกายน 2565
เวลาหัวค่ำของวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 จะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ทั้งดวงผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวยูเรนัสในเวลาเดียวกันอีกด้วย
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มีรูปร่างเป็นดวงกลมสว่างทำให้เงาของโลกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนมืดเรียกว่าเงามืด บริเวณที่มืดน้อยกว่ามากเรียกว่าเงามัว ช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ในเงามัว ดวงจันทร์มีความสว่างลดลงเพียงเล็กน้อย แทบไม่สามารถสังเกตได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ช่วงที่เกิดจันทรุปราคาบางส่วนหรือเต็มดวง ผิวดวงจันทร์ส่วนที่อยู่ในเงามืดจะมืดลงอย่างชัดเจน สามารถสังเกตเห็นรูปร่างและสีสันของดวงจันทร์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อสังเกตจากประเทศไทยจันทรุปราคาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 เริ่มขึ้นก่อนที่ดวงจันทร์จะโผล่เหนือขอบฟ้า และดวงอาทิตย์ยังไม่ตก เราจึงไม่สามารถเห็นในช่วงเริ่มปรากฏการณ์ได้ เมื่อดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ดวงจันทร์จะขึ้นเหนือขอบฟ้าในทิศตรงกันข้าม เราอาจต้องรอให้ดวงจันทร์เคลื่อนสูงขึ้นและท้องฟ้ามืดลงอีกเล็กน้อย จึงเริ่มสังเกตเห็นดวงจันทร์ได้ ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ในเงามืดของโลกทั้งดวง หากขอบฟ้าทิศตะวันออกไม่มีสิ่งใดบดบัง เราอาจเห็นดวงจันทร์ได้ราง ๆ เนื่องจากขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ไม่ได้มืดมิดไปทั้งหมด แสงอาทิตย์ที่หักเหและกระเจิงผ่านบรรยากาศโลก ทำให้ผิวดวงจันทร์ไม่มืดสนิท
เมื่อเวลาผ่านไปดวงจันทร์และดาวต่าง ๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันออกจะค่อย ๆ เคลื่อนสูงขึ้นตามการหมุนของโลก พร้อมกับที่ดวงจันทร์เคลื่อนออกจากเงาโลก ดวงจันทร์อยู่ใกล้ศูนย์กลางเงาโลกมากที่สุดในเวลา 17:59 น. ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ใกล้ขอบฟ้ามาก ภาคใต้ตอนล่างเห็นดวงจันทร์อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้ามากที่สุด (และอาจมีโอกาสเห็นได้ยากที่สุด) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเห็นดวงจันทร์อยู่สูงที่สุด และท้องฟ้ายังสว่างอยู่ด้วยแสงสนธยา
จันทรุปราคาเต็มดวงจะสิ้นสุดลงในเวลา18:42 น. เป็นจังหวะที่เริ่มมีแสงสว่างขึ้นที่ขอบดวงจันทร์ และท้องฟ้ามืดลงพอสมควรแล้ว จากนั้นดวงจันทร์จะออกจากเงามืดทั้งดวง หรือสิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วนในเวลา 19:49 น. แม้ว่าดวงจันทร์จะกลับมาสว่างเต็มดวงแล้ว แต่ปรากฏการณ์ยังไม่สิ้นสุดเสียทีเดียว ผิวดวงจันทร์ยังคงหมองคล้ำอยู่เล็กน้อยต่อไปอีกราว 1 ชั่วโมง จนกระทั่งดวงจันทร์ออกจากเงามัวในเวลา 20:56 น.
เวลาสัมผัสเงาในแต่ละขั้นตอนของจันทรุปราคาเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศแต่ตำแหน่งดวงจันทร์ที่มองเห็นจากแต่ละสถานที่ไม่เหมือนกัน ดังแสดงตัวอย่างในตารางต่อไปนี้
จากตารางพอจะกล่าวได้ว่าหากไม่คำนึงถึงสภาพอากาศหรือปริมาณเมฆ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ซึ่งสังเกตจันทรุปราคาครั้งนี้ได้ดีกว่าภาคอื่น ๆ
นอกจากจันทรุปราคาแล้วยังเกิดปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน นั่นคือดวงจันทร์บังดาวยูเรนัส ตอนเริ่มบัง ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากท้องฟ้าสว่าง ดวงจันทร์เพิ่งขึ้นหรือยังไม่ขึ้นเหนือขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ช่วงสิ้นสุดการบัง พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีโอกาสสังเกตดาวยูเรนัสโผล่ออกมาจากหลังดวงจันทร์ โดยปรากฏที่ขอบด้านขวามือของดวงจันทร์เมื่อเทียบกับทิศทางของจุดเหนือศีรษะ แต่ดวงจันทร์ยังอยู่สูงเหนือขอบฟ้าไม่มาก และดาวยูเรนัสไม่ค่อยสว่างนัก จึงยากจะเห็นด้วยตาเปล่า ควรใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ เป็นโอกาสดีสำหรับการถ่ายภาพดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงพร้อมกับดาวยูเรนัส
เวลาสิ้นสุดการบังดาวยูเรนัสแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่กรุงเทพฯ เกิดขึ้นเวลา 18:32 น. ขอนแก่น 18:37 น. เชียงใหม่ 18:43 น. นครราชสีมา 18:34 น. นครศรีธรรมราช 18:17 น. ประจวบคีรีขันธ์ 18:28 น. ระยอง 18:29 น. สงขลา 18:10 น. อุบลราชธานี 18:33 น. (หมายเหตุ : เชียงใหม่เกิดในเวลาหลังสิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง จึงเห็นขอบด้านซ้ายมือของดวงจันทร์สว่างขึ้นแล้ว แม้ว่าภาคใต้ตอนบนจะอยู่ในบริเวณที่เห็นขณะสิ้นสุดการบัง แต่สังเกตได้ค่อนข้างยากเนื่องจากขณะที่ดาวยูเรนัสโผล่ออกมาอยู่ที่ขอบดวงจันทร์ ท้องฟ้าอาจยังไม่มืดพอ ส่วนภาคใต้ตอนล่างสุดไม่สามารถสังเกตการบังได้ แต่ยังคงมีโอกาสสังเกตเห็นดาวยูเรนัสอยู่ใกล้ดวงจันทร์ระหว่างที่เกิดจันทรุปราคา)
การที่ดวงจันทร์เข้าบังดาวเคราะห์ขณะเกิดจันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยพบเห็นได้ยากมากสำหรับดาวเคราะห์สว่างอย่างดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ (พบได้บ่อยกว่าสำหรับดาวเคราะห์ที่ไม่สว่างอย่างดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะดาวเคราะห์สว่างเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งเร็วกว่ายูเรนัสและเนปจูน) ส่วนดาวพุธกับดาวศุกร์ไม่มีโอกาสถูกดวงจันทร์บังขณะเกิดจันทรุปราคา
จากการคำนวณในเบื้องต้นพบว่าหลังจากปีนี้ปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ขณะเกิดจันทรุปราคาครั้งถัดไปจะเกิดในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2106 เป็นจันทรุปราคาบางส่วน และดาวเคราะห์ที่ถูกบังก็คือดาวยูเรนัสอีกเช่นเดียวกัน
หลังจากปีนี้ประเทศไทยสามารถสังเกตจันทรุปราคาบางส่วนได้ในเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2566 และจะมีโอกาสเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงได้อีกในคืนวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2568 และหัวค่ำของวันอังคารที่ 3 มีนาคม 2569
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มีรูปร่างเป็นดวงกลมสว่าง
เหตุการณ์ | เวลา |
---|---|
1. | 15:02:15 |
2. | 16:09:12 |
3. | 17:16:39 |
4. | 17:59:10 |
5. | 18:41:39 |
6. | 19:49:05 |
7. | 20:56:11 |
เมื่อสังเกตจากประเทศไทย
เมื่อเวลาผ่านไป
จันทรุปราคาเต็มดวงจะสิ้นสุดลงในเวลา
เวลาสัมผัสเงาในแต่ละขั้นตอนของจันทรุปราคาเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ
สถานที่ | บังลึกที่สุด 17:59 | สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง 18:42 | สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน 19:49 |
---|---|---|---|
กรุงเทพฯ | 3° | 12° | 28° |
ขอนแก่น | 6° | 15° | 31° |
จันทบุรี | 4° | 13° | 29° |
เชียงใหม่ | 3° | 12° | 27° |
นครพนม | 8° | 17° | 33° |
นครราชสีมา | 5° | 14° | 30° |
นราธิวาส | 2° | 12° | 27° |
ประจวบคีรีขันธ์ | 2° | 11° | 27° |
ภูเก็ต | - | 9° | 24° |
หาดใหญ่ | 1° | 10° | 26° |
อุบลราชธานี | 7° | 17° | 32° |
จากตารางพอจะกล่าวได้ว่า
ดวงจันทร์บังดาวยูเรนัส
นอกจากจันทรุปราคาแล้ว
เวลาสิ้นสุดการบังดาวยูเรนัสแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
การที่ดวงจันทร์เข้าบังดาวเคราะห์ขณะเกิดจันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย
จากการคำนวณในเบื้องต้นพบว่าหลังจากปีนี้
จันทรุปราคาครั้งถัดไป
หลังจากปีนี้