ในช่วงหลายปีทีผ่านมา ดวงจันทร์กลับมาเป็นที่สนใจขององค์กรทางอวกาศอีกครั้ง หลายชาติเริ่มกลับมาดำเนินโครงการสำรวจดวงจันทร์อีกครั้งหลังจากที่มองข้ามไปนาน เหตุหนึ่งที่ดวงจันทร์กลับมาเป็นที่สนใจโดยเฉพาะที่ขั้วใต้ เหตุเพราะมีหลักฐานหลายอย่างชี้ว่า ที่นั่นอาจมีน้ำอยู่ด้วย
การหาแหล่งน้ำบนดวงจันทร์มีความหมายอย่างมากต่อการสำรวจดวงจันทร์หรือแม้แต่การตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์ในอนาคต เพราะน้ำเป็นทรัพยากรที่สำคัญแต่มีน้ำหนักมาก หากมีน้ำบนดวงจันทร์เป็นจำนวนมากจริง ก็หมายความว่ายานสำรวจในอนาคตอาจไม่ต้องพกน้ำไปมากนัก เพราะไปหาเอาบนดวงจันทร์ได้ นักดาราศาสตร์เคยประเมินว่าอาจอยู่ในรูปของพืดน้ำแข็งหรือทะเลสาบน้ำแข็งที่ขังอยู่ตามก้นหลุมขนาดใหญ่ที่อาจลึกหลายสิบเมตรก็เป็นได้
นอกจากนี้ทะเลสาบน้ำแข็งยังอาจเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับการท่องเที่ยวอวกาศอีกด้วยนักท่องเที่ยวอวกาศในอนาคตอาจได้ไปดื่มด่ำกับท้องฟ้าที่พราวพร่างไปด้วยดวงดาว นอนชมโลกสีน้ำเงินที่ขอบฟ้าที่ริมทะเลสาบน้ำแข็งบนดวงจันทร์
แต่อย่าเพิ่งฝันไปไกลนักเพราะนักดาราศาสตร์คณะหนึ่งพบว่า มีปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้ดวงจันทร์มีน้ำไม่มากอย่างที่เคยคิดไว้ก็เป็นได้
บนดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศดังนั้นพื้นผิวดวงจันทร์เมื่อถูกแสงอาทิตย์จึงร้อนจัด หากมีน้ำอยู่ที่ใดก็จะถูกความร้อนจากแดดแผดเผาจนระเหยไปหมด แต่บนดวงจันทร์มีบางพื้นที่เป็นที่อับแสง ไม่เคยถูกแสงอาทิตย์เป็นเวลานาน บริเวณดังกล่าวได้แก่ก้นหลุมอุกกาบาตที่อยู่ใกล้ขั้วดวงจันทร์ บริเวณดังกล่าวจึงมืดมิดและหนาวเย็นตลอดกาล บางแห่งอาจมีอุณหภูมิต่ำถึง -163 องศาเซลเซียส
ในช่วงต้นของการกำเนิดระบบสุริยะซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราว 3.8 พันล้านปีก่อน ระบบสุริยะชั้นในที่โลกโคจรอยู่ถูกดาวเคราะห์น้อยและดาวหางกระหน่ำชนอย่างหนักหน่วง ดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่บริเวณนี้ ทั้งดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคารล้วนถูกชนจนพรุน รวมถึงดวงจันทร์ของโลกด้วย
ในช่วงเวลาดังกล่าวดวงจันทร์ยังคงคุกรุ่นไปด้วยกิจกรรมทางภูเขาไฟ มีการคายน้ำออกมาจากภายในดวงจันทร์สู่พื้นผิวจำนวนมาก หากขณะนั้นมีหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่มืดมิดอยู่ น้ำที่ถูกคายออกมาก็จะมีที่อยู่และสะสมอยู่ที่ก้นหลุมได้และอาจเหลือรอดจนมาถึงปัจจุบัน น้ำที่ก้นหลุมจะมีมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับเวลาสะสมเป็นสำคัญ ยิ่งเวลาสะสมนานขึ้นเท่าใด น้ำที่สะสมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
นักดาราศาสตร์คณะหนึ่งที่นำโดยนอร์เบิร์ต ชอร์กโฮเฟอร์ จากสถาบันวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ และ เรลูกา รูฟู จากสถาบันวิจัยเซาท์เวสต์ ได้สร้างแบบจำลองการโคจรของดวงจันทร์ด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาสาเหตุที่อัตราการถอยห่างของดวงจันทร์ที่อยู่ที่ประมาณ 3.8 เซนติเมตรต่อปีกับอายุของดวงจันทร์ (4.5 พันล้านปี) ไม่สอดคล้องกัน
แบบจำลองการส่ายของแกนหมุนดวงจันทร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่พบว่าการโคจรพ้องระหว่างโลกและดวงจันทร์น่าจะเป็นตัวการทำให้อัตราการถอยห่างผันแปรและยังมีผลให้แกนหมุนของควงของดวงจันทร์เปลี่ยนทิศได้อีกด้วย หากเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมแสดงว่าพบว่าหลุมบริเวณขั้วจะอยู่ในความมืดมิดได้ไม่นานนัก ชอร์กโฮเฟอร์ประเมินว่า ระยะเวลาเฉลี่ยของหลุมที่จะคงอยู่ที่ขั้วดวงจันทร์นานเพียงประมาณไม่เกิน 1.8 พันล้านปี
นั่นหมายความว่าแต่ละหลุมจะมีเวลาสะสมน้ำในหลุมไม่มากนักทำให้ปริมาณน้ำที่ก้นหลุมอาจไม่มากอย่างที่หลายคนฝันหวานไว้ก็ได้
การค้นพบนี้มีผลอย่างมากต่อการประเมินปริมาณน้ำแข็งที่จะพบได้ในหลุมดังนั้นผู้วางแผนภารกิจสำรวจขั้วดวงจันทร์ในอนาคต เช่นภารกิจอาร์เทมิส 3 ที่จะส่งคนลงไปสำรวจหาน้ำที่ขั้วดวงจันทร์จะต้องเลือกตำแหน่งลงจอดให้ใกล้เคียงกับหลุมที่มีอายุมากเข้าไว้ เพราะนั่นจะหมายความว่ามีโอกาสพบน้ำที่ก้นหลุมมากขึ้นด้วย
การหาแหล่งน้ำบนดวงจันทร์
นอกจากนี้ทะเลสาบน้ำแข็งยังอาจเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับการท่องเที่ยวอวกาศอีกด้วย
แต่อย่าเพิ่งฝันไปไกลนัก
บนดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศ
ในช่วงต้นของการกำเนิดระบบสุริยะ
ในช่วงเวลาดังกล่าว
นักดาราศาสตร์คณะหนึ่งที่นำโดย
แบบจำลองการส่ายของแกนหมุนดวงจันทร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่พบว่าการโคจรพ้องระหว่างโลกและดวงจันทร์น่าจะเป็นตัวการทำให้อัตราการถอยห่างผันแปร
นั่นหมายความว่าแต่ละหลุมจะมีเวลาสะสมน้ำในหลุมไม่มากนัก
การค้นพบนี้มีผลอย่างมากต่อการประเมินปริมาณน้ำแข็งที่จะพบได้ในหลุม