หลังจากที่เดินทางมาเป็นระยะทางกว่า 442 ล้านไมล์ ยานมาเวน (MAVEN--Mars Atmosphere and Volatile EvolutioN Mission) ยานสำรวจดาวอังคารลำล่าสุดของนาซา ได้ชลอความเร็วลงเพื่อให้ช้าพอที่จะให้ดาวอังคารคว้าจับเอาไว้ในวงโคจร และทำสำเร็จเมื่อเวลา 2.24 น. ของวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ใช้เวลาเดินทาง 10 เดือน นับตั้งแต่ออกเดินทางจากโลกเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนปีที่แล้ว
ในช่วงแรกหลังจากที่เข้าสู่วงโคจรดาวอังคารยานได้โคจรรอบดาวอังคารเป็นวงรีมากด้วยคาบ 35 ชั่วโมง มีระยะห่างจากพื้นผิวตั้งแต่ 380 ถึง 44,600 กิโลเมตร และใช้เวลาต่อมาอีก 6 สัปดาห์ในการปรับวงโคจรให้เป็นคาบ 4 ชั่วโมงครึ่ง และมีระยะห่างจากพื้นผิว 152 ถึง 6,160 กิโลเมตร ก่อนที่จะใช้จรวดเล็กปรับวงโคจรขั้นสุดท้ายเพื่อให้มีคาบ 3 ชั่วโมงครึ่ง อันเป็นวงโคจรที่ต้องการ
ภารกิจของมาเวนต่างจากของยานลำอื่นที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ยานสำรวจดาวอังคารส่วนใหญ่ของนาซาจะมุ่งไปที่การสำรวจพื้นผิวและวิวัฒนาการทางธรณีวิทยา แต่มาเวนจะมุ่งไปที่บรรยากาศของดาวอังคารโดยเฉพาะ
มาเวนมีอุปกรณ์หลัก8 ชิ้น ในจำนวนนี้ 6 ชิ้นเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดอนุภาคประจุไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก คลื่นพลาสมา และลมสุริยะ
ที่ปลายแขนข้างหนึ่งมีแท่นที่ติดสเปกโทรกราฟอัลตราไวโอเลตกับแมสสเปกโทรมิเตอร์ อุปกรณสองชิ้นนี้จะคอยวัดองค์ประกอบทางเคมีของบรรยากาศชั้นบนของดาวอังคาร
ในช่วงปีแรกของภารกิจศูนย์ควบคุมการบินจะออกคำสั่งให้มาเวนดำดิ่งลงสู่บรรยากาศชั้นล่างโดยมีความสูงจากพื้นดินเพียง 125 กิโลเมตรห้าครั้ง เพื่อเก็บตัวอย่างอากาศจากบรรยากาศอันเบาบาง การสำรวจนี้คาดว่าอาจจะได้เบาะแสบางอย่างที่อาจช่วยไขปัญหาข้อหนึ่งเกี่ยวกับดาวอังคารที่มีมาอย่างยาวนาน
ดาวอังคารมีหลักฐานอยู่มากมายที่แสดงว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เคยมีบรรยากาศที่หนาแน่นกว่าในปัจจุบันมากมีแม้แต่ฝนและลำธาร เป็นสภาพที่น่าจะเอื้อต่อสิ่งมีชีวิต แต่ต่อมาบรรยากาศนั้นก็หายไปจนเกือบหมด ดาวอังคารกลายเป็นดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งได้อย่างไร
ทฤษฎีหนึ่งอธิบายว่าแก๊สในบรรยากาศลอยหลุดออกไปนอกอวกาศจากการพัดพาโดยลมสุริยะ บนโลก สนามแม่เหล็กของโลกจะห่อหุ้มบรรยากาศโลก ทำให้ลมสุริยะไม่กระทบบรรยากาศโดยตรง ดาวอังคารก็เคยมีสนามแม่เหล็กรอบดวงเหมือนกัน แต่ต่อมาได้หายไป เมื่อบรรยากาศของดาวอังคารไร้เกราะปกป้อง จึงถูกพัดหายไป เหลือเพียงอากาศอันเบาบางดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
สเปกโทรมิเตอร์ของมาเวนจะตรวจว่าอะตอมไฮโดรเจนถูกดึงออกจากโมเลกุลน้ำโดยรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงอาทิตย์แล้วหลุดลอยออกสู่อวกาศจริงหรือไม่และเกิดขึ้นด้วยอัตราเท่าใด บรูซ จาโคสกี จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด หัวหน้าคณะผู้สอบสวนโครงการมาเวนอธิบายว่า "นี่อาจเป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศบนดาวอังคารก็ได้"
แม้ว่าตามกำหนดการมาเวนจะเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจังในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้แต่มาเวนก็มีงานใหญ่ให้ทำก่อนหน้านั้นซึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญที่ยานอยู่ถูกที่ถูกเวลา เมื่อดาวหางไซดิงสปริง (ซี/2013 เอ 1) ได้เข้ามาเฉียดดาวอังคารในวันที่ 19 ตุลาคม
เนื่องจากอนุภาคจากดาวหางมีความเร็วสัมพัทธ์กับยานสูงถึง56 กิโลเมตรต่อวินาที จึงมีความกังวลว่าอนุภาคเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายต่อยานได้หากกระทบโดน แต่มาเวน รวมถึงยานอวกาศทุกลำที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ดาวอังคารก็ผ่านช่วงดังกล่าวมาอย่างปลอดภัย
ช่วงไม่กี่วันก่อนและหลังที่ดาวหางไซดิงสปริงจะเข้าใกล้ดาวอังคารที่สุดสเปกโทรกราฟอัลตราไวโอเลตบนมาเวนจะตรวจวัดปริมาณแก๊สในโคม่าของดาวหางดวงนี้ และวัดผลกระทบที่มีต่อบรรยากาศชั้นบนของดาวอังคารด้วย เช่นอุณหภูมิที่พุ่งขึ้นสูงจากการกระทบ หรือการเกิดไอน้ำเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน
ขณะนี้ดาวอังคารมียานสำรวจที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่หลายลำนอกจากมาเวนแล้ว ยังมี มงคลยานของอินเดียที่เพิ่งเดินทางไปถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน มาร์สรีคอนเนสเซนซ์ออร์บิเตอร์และมาร์สโอดิสซีย์ของนาซา มาร์สเอกซ์เพรสของอีซา
ในช่วงแรกหลังจากที่เข้าสู่วงโคจรดาวอังคาร
ภารกิจของมาเวนต่างจากของยานลำอื่นที่ผ่านมา
มาเวนมีอุปกรณ์หลัก
ที่ปลายแขนข้างหนึ่ง
ในช่วงปีแรกของภารกิจ
ดาวอังคารมีหลักฐานอยู่มากมายที่แสดงว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เคยมีบรรยากาศที่หนาแน่นกว่าในปัจจุบันมาก
ทฤษฎีหนึ่งอธิบายว่า
สเปกโทรมิเตอร์ของมาเวนจะตรวจว่าอะตอมไฮโดรเจนถูกดึงออกจากโมเลกุลน้ำโดยรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงอาทิตย์แล้วหลุดลอยออกสู่อวกาศจริงหรือไม่
แม้ว่าตามกำหนดการมาเวนจะเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจังในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
เนื่องจากอนุภาคจากดาวหางมีความเร็วสัมพัทธ์กับยานสูงถึง
ช่วงไม่กี่วันก่อนและหลังที่ดาวหางไซดิงสปริงจะเข้าใกล้ดาวอังคารที่สุด
ขณะนี้ดาวอังคารมียานสำรวจที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่หลายลำ