ดาวหางแพนสตาร์ส (C/2011 L4 PANSTARRS)
ดาวหางแพนสตาร์สเป็นดาวหางหนี่งใน 3 ดวง ที่คาดว่าจะสว่างจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าในช่วงปีนี้ อีก 2 ดวง คือ ดาวหางไอซอน (C/2012 S1 ISON) และดาวหางเลมมอน (C/2012 F6 Lemmon) ไอซอนจะเห็นได้ในปลายปี ส่วนเลมมอน ซึ่งสว่างที่สุดในช่วงที่เข้าใกล้โลกและดวงอาทิตย์ในเดือนมีนาคม 2556 อยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถสังเกตได้จากประเทศไทย
ชื่อดาวหาง
ดาวหางแพนสตาร์สมีชื่อตามโครงการแพนสตาร์ส (Pan-STARRS ย่อมาจาก Panoramic Survey Telescope & Rapid Response System) ซึ่งเป็นโครงการสำรวจท้องฟ้าโดยมีเป้าหมายหลักในการค้นหาดาวเคราะห์น้อยและดาวหางที่อาจเป็นภัยคุกคามโลก มีข้อสังเกตว่าโครงการนี้ใช้ชื่อย่อในภาษาอังกฤษว่า Pan-STARRS แต่ในชื่อดาวหางที่สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลกำหนดนั้น ใช้อักษรตัวใหญ่ทั้งหมด และเขียนติดกัน
นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวหางในภาพถ่ายซีซีดีที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่6 มิถุนายน 2554 ผ่านกล้องแพนสตาร์ส 1 (ย่อว่า PS1) ขนาด 1.8 เมตร ซึ่งตั้งอยู่ที่ยอดเขาฮาเลอาคาลา (Haleakala) ในหมู่เกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา ขณะค้นพบดาวหางสว่างที่โชติมาตรประมาณ 19.4 อยู่ในกลุ่มดาวแมงป่อง จากนั้นได้พบภาพที่ถ่ายติดดาวหางหลายภาพภายในคลังภาพของโครงการเมาต์เลมมอน (Mt. Lemmon Survey) รัฐแอริโซนา ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ก่อนการค้นพบ
ขณะค้นพบดาวหางแพนสตาร์สอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไกลถึง 7.9 หน่วยดาราศาสตร์ อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์ การคำนวณวงโคจรในช่วงแรกพบว่าดาวหางจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในกลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 โดยมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์เพียง 0.3 หน่วยดาราศาสตร์ ระยะใกล้ขนาดนั้น ทำให้มีความหวังว่ามันจะเป็นดาวหางที่สว่างมากดวงหนึ่ง
ผลการคำนวณล่าสุดพบว่าดาวหางมีวงโคจรเป็นรูปไฮเพอร์โบลาผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 10 มีนาคม 2556 ที่ระยะ 0.3 หน่วยดาราศาสตร์ (ใกล้เคียงวงโคจรของดาวพุธ) และใกล้โลกที่สุดในวันที่ 5 มีนาคม 2556 ที่ระยะ 1.1 หน่วยดาราศาสตร์ ระนาบวงโคจรของดาวหางเกือบตั้งฉากกับวงโคจรโลก โดยเอียงทำมุม 84°
2556
กลางเดือนมกราคม2556 ดาวหางอยู่บริเวณส่วนหางของกลุ่มดาวแมงป่อง สว่างที่โชติมาตร 8 ซึ่งจางกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านั้นประมาณ 1 อันดับ ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีแนวโน้มว่าช่วงที่ดาวหางสว่างที่สุดในเดือนมีนาคม อาจไม่สว่างกว่าโชติมาตร 3 ซึ่งนับว่าจางกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้อยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ความสว่างของดาวหางแพนสตาร์สได้เพิ่มขึ้นมาที่โชติมาตร 5 และมีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยซีกโลกใต้เป็นซีกโลกที่สังเกตดาวหางได้ดี
สิ้นเดือนกุมภาพันธ์รายงานจากซีกโลกใต้ระบุว่าดาวหางสว่างเพิ่มขึ้นไปที่โชติมาตร 2.6-2.8 เป็นช่วงที่ดาวหางผ่านใกล้ดาวโฟมัลฮอต (Fomalhaut) ในกลุ่มดาวปลาใต้ สามารถเห็นดาวหางได้ด้วยตาเปล่า แม้ว่าจะอยู่สูงจากขอบฟ้าไม่กี่องศา และมีแสงรบกวนจากตัวเมือง (ประเทศไทยยังสังเกตไม่ได้ เพราะดาวหางตกลับขอบฟ้าเกือบพร้อมกับดวงอาทิตย์)
มีนาคม2556
วันที่5 มีนาคม เป็นต้นไป หลังจากดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า ควรจะเริ่มพยายามมองหาดาวหางบริเวณใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันตก โอกาสเห็นดาวหางจะเพิ่มขึ้นทุกวันหลังจากนั้น เนื่องจากดาวหางเคลื่อนห่างขอบฟ้ามากขึ้นทีละน้อย เมื่อเทียบตำแหน่งในเวลาเดียวกันของทุกวัน
หัวค่ำของวันที่9-17 มีนาคม น่าจะเป็นช่วงที่สังเกตดาวหางดวงนี้ได้ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะวันที่ 8-12 มีนาคม เนื่องจากคาดว่าจะเป็นช่วงที่ดาวหางสว่างที่สุด และตกลับขอบฟ้าช้าที่สุด อย่างไรก็ตาม ดาวหางแพนสตาร์สจะอยู่ในแสงสนธยา ท้องฟ้าที่ไม่มืดสนิท และตำแหน่งดาวหางที่อยู่ใกล้ขอบฟ้า ทำให้การสังเกตดาวหางด้วยตาเปล่าค่อนข้างจะยากสำหรับประเทศไทย
ผลการวิเคราะห์เมื่อวันที่18 กุมภาพันธ์ 2556 โดย อันเดรียส คัมเมอเรอร์ (Andreas Kammerer) นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวเยอรมัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดาวหาง ระบุว่าดาวหางแพนสตาร์สน่าจะสว่างที่สุดที่โชติมาตร +2.0 หางยาวประมาณ 10° และหัวดาวหางหรือโคม่า (coma) น่าจะมีขนาดประมาณ 10 ลิปดา
จอห์นบอร์เทิล (John Bortle) ให้ความเห็นกับนิตยสาร Sky & Telescope เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 ระบุว่าดาวหางแพนสตาร์สน่าจะสว่างที่สุดในวันที่ 10 มีนาคม ราวโชติมาตร +2.2 หางยาวประมาณ 5°-15° แล้วจางลงไปที่โชติมาตร +5.0 ในปลายเดือน โดยตำแหน่งและความสว่างของดาวหางแพนสตาร์สดูคล้ายดาวหางมาร์คอส (C/1957 P1 Mrkos) หากดาวหางแพนสตาร์สสามารถสว่างได้ถึงระดับนี้ หางฝุ่นอาจแผ่กว้างและตีวงโค้ง อย่างไรตาม แสงสนธยาอาจทำให้การปรากฏของหางในลักษณะดังกล่าวไม่ชัดเจน
สมการคำนวณความสว่างของดาวหางโดยเซอิชิ โยะชิดะ (Seiichi Yoshida) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2556 แสดงว่าดาวหางแพนสตาร์สน่าจะสว่างที่สุดในวันที่ 8-11 มีนาคม ราวโชติมาตร +1.8 (ใกล้เคียงความสว่างของดาว 3 ดวง ตรงเข็มขัดนายพราน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดาวไถ ตามกลุ่มดาวไทย)
วันที่6 มีนาคม 2556 เทอร์รี เลิฟจอย (Terry Lovejoy) รายงานจากออสเตรเลียว่าดาวหางแพนสตาร์สสว่างที่โชติมาตร +1.5 แสดงว่าดาวหางแพนสตาร์สสว่างกว่าโชติมาตรที่คำนวณด้วยสมการข้างต้นราว 0.5 อันดับ แปลว่าเมื่อดาวหางสว่างที่สุดในวันที่ 10 มีนาคม มันอาจสว่างได้เกือบถึงโชติมาตร +1.0
วันที่10 มีนาคม 2556 ดาวหางแพนสตาร์สผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด รายงานจากที่ต่าง ๆ แสดงว่ามีความสว่างใกล้เคียงโชติมาตร 0 หรืออาจถึง -1 แม้ว่าดาวหางจะสว่างถึงระดับนี้ แต่สังเกตได้ยากด้วยตาเปล่า จำเป็นต้องใช้กล้องสองตา เนื่องจากแสงสนธยา และความหนาแน่นของบรรยากาศที่ขอบฟ้าจะลดความสว่างของดาวหางให้จางลง
ประเทศไทยจะสังเกตดาวหางแพนสตาร์สได้ดีตั้งแต่หลังดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว30 นาที (ภาคกลางตรงกับเวลาประมาณ 1 ทุ่ม) โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันตก อุปสรรคสำคัญในการสังเกตดาวหางดวงนี้ในช่วงดังกล่าว คือดาวหางอยู่ห่างดวงอาทิตย์ 15° จึงมีเวลาสังเกตได้ไม่นาน และดาวหางจะอยู่ใกล้ขอบฟ้ามาก
ชื่อดาวหาง การค้นพบ และวงโคจร
ดาวหางแพนสตาร์สมีชื่อตามโครงการแพนสตาร์ส นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวหางในภาพถ่ายซีซีดีที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่
ขณะค้นพบ
ผลการคำนวณล่าสุดพบว่าดาวหางมีวงโคจรเป็นรูปไฮเพอร์โบลา
ตำแหน่งและความสว่าง
มกราคม-กุมภาพันธ์กลางเดือนมกราคม
อย่างไรก็ตาม
สิ้นเดือนกุมภาพันธ์
มีนาคม
วันที่
หัวค่ำของวันที่
ผลการวิเคราะห์เมื่อวันที่
จอห์น
สมการคำนวณความสว่างของดาวหางโดย
วันที่
วันที่
มุมเงยของดาวหางแพนสตาร์ส | ||||
---|---|---|---|---|
วันที่ | โชติมาตร (ปรับปรุง | กรุงเทพฯ | เชียงใหม่ | สงขลา |
7 | +1.9 | 4.6° | 3.8° | 5.5° |
8 | +1.8 | 5.4° | 4.9° | 6.1° |
9 | +1.8 | 6.1° | 5.8° | 6.6° |
10 | +1.8 | 6.7° | 6.5° | 6.9° |
11 | +1.8 | 7.1° | 7.1° | 7.0° |
12 | +1.9 | 7.3° | 7.5° | 7.0° |
13 | +2.0 | 7.4° | 7.7° | 6.8° |
14 | +2.1 | 7.3° | 7.9° | 6.5° |
15 | +2.3 | 7.1° | 7.9° | 6.1° |
16 | +2.4 | 6.9° | 7.8° | 5.6° |
17 | +2.6 | 6.5° | 7.6° | 5.0° |
18 | +2.7 | 6.1° | 7.3° | 4.4° |
19 | +2.9 | 5.6° | 7.0° | 3.8° |
20 | +3.0 | 5.1° | 6.6° | 3.1° |
21 | +3.2 | 4.6° | 6.2° | 2.5° |
22 | +3.3 | 4.0° | 5.8° | 1.8° |
23 | +3.5 | 3.5° | 5.4° | 1.1° |
24 | +3.6 | 3.0° | 4.9° | 0.5° |
ประเทศไทยจะสังเกตดาวหางแพนสตาร์สได้ดีตั้งแต่หลังดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว